สมมติสถานการณ์: ขณะที่คุณเห็นสัตว์หรือบุคคลที่ไม่ชอบหน้า เกิดความขุ่นเคืองใจอย่างรุนแรง และตัดสินใจที่จะพรากชีวิตเขาด้วยตนเอง โดยไม่มีใครชักชวน จิตขณะนั้น ในทางพระอภิธรรมคือ "โทสะมูลจิตดวงที่ ๑" ซึ่งมีชื่อเต็มว่า: โทมนัสสสหคตัง ปฏิฆสัมปยุตตัง อสังขาริกัง (จิตอกุศลที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครชวน ประกอบด้วยความเสียใจ ขุ่นเคือง และมีความกระทบกระทั่งในอารมณ์) นี่คือจิตที่เป็นบาปหนักและมีกำลังมาก ต่อไปจะแยกองค์ประกอบทั้งหมดที่เกิดขึ้น "พร้อมกัน" ในชั่วขณะจิตนั้น

จิตอกุศล

องค์ประกอบทั้งหมดในจิตฆ่า ๑ ขณะ (จิต ๑ + เจตสิก ๑๙)

ในชั่วขณะจิตที่โทสะจิตดวงนี้เกิดขึ้น ไม่ได้มีแค่ตัวจิต (สภาวะที่รับรู้) แต่มี "เจตสิก" (สภาวะที่ปรุงแต่งจิต) เกิดขึ้นพร้อมกัน ทำงานร่วมกัน และดับไปพร้อมกันด้วย ในกรณีของจิตดวงนี้ มีเจตสิกเกิดร่วมได้สูงสุดถึง ๑๙ ดวง หรือพูดอีกอย่าง ใน ๑ ขณะจิตนั้น มี "นามธรรม" เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมด ๒๐ อย่าง คือ

ตัวประธาน: จิต ๑ ดวง

  • โทสะมูลจิตดวงที่ ๑: ทำหน้าที่เป็นประธานในการรับรู้อารมณ์ที่ไม่น่าพอใจนั้น

เกิดร่วมกับจิต: เจตสิก ๑๙ ดวง (แบ่งเป็น ๓ กลุ่มหลัก)

กลุ่มที่ ๑: สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ดวง (เกิดกับจิตทุกดวงเสมอ)

  1. ผัสสะ: สภาวะที่กระทบอารมณ์ (การรับรู้เป้าหมายที่จะทำลาย)
  2. เวทนา: สภาวะที่เสวยอารมณ์ (ในที่นี้คือ โทมนัสเวทนา หรือความทุกข์ใจ ขุ่นมัว)
  3. สัญญา: ความจำได้หมายรู้ (จำได้ว่านี่คือศัตรู, นี่คืออาวุธ)
  4. เจตนา: ความจงใจ, ความตั้งใจ (ความจงใจที่จะฆ่า) นี่คือตัวกรรมโดยตรง
  5. เอกัคคตา: ความมีอารมณ์เดียว (จิตแน่วแน่กับการกระทำอันโหดร้ายนั้น)
  6. ชีวิตินทรีย์: สภาวะที่หล่อเลี้ยงนามธรรม (จิตและเจตสิก) ที่เกิดพร้อมกันให้ดำรงอยู่ได้
  7. มนสิการ: สภาวะที่ใส่ใจในอารมณ์ (การน้อมจิตไปสู่การทำลาย)

กลุ่มที่ ๒: ปกิณณกเจตสิก ๔ ดวง (เจตสิกที่เกิดกับจิตเป็นบางครั้ง)

  1. วิตก: การตรึกถึงอารมณ์ (การยกจิตขึ้นสู่ความคิดที่จะประทุษร้าย)
  2. วิจาร: การประคองจิตไว้ในอารมณ์ (การเคล้าคลึงอยู่กับความคิดอาฆาต)
  3. อธิโมกข์: ความตัดสินใจ (ความปักใจแน่วแน่ว่าจะฆ่า ไม่ลังเล)
  4. วิริยะ: ความเพียร (ความพยายามทางใจในการทำบาปกรรมนี้)

กลุ่มที่ ๓: อกุศลเจตสิก ๘ ดวง (เจตสิกฝ่ายชั่ว)

(ก) อกุศลสาธารณเจตสิก ๔ ดวง (เกิดกับอกุศลจิตทุกดวง)

  1. โมหะ: ความหลง, ความไม่รู้ตามจริง (ไม่เข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรม)
  2. อหิริกะ: ความไม่ละอายต่อบาป
  3. อโนตตัปปะ: ความไม่เกรงกลัวต่อผลของบาป
  4. อุทธัจจะ: ความฟุ้งซ่าน (ความไม่สงบของจิต)

(ข) โทจตุกเจตสิก ๔ ดวง (กลุ่มเจตสิกที่มีโทสะเป็นประธาน)

  1. โทสะ: ความโกรธ, ความเกลียด, ความประทุษร้าย (ตัวการหลักของการฆ่า)
  2. อิสสา: ความริษยา (อาจเป็นเหตุเริ่มต้นที่ทำให้คิดฆ่า)
  3. มัจฉริยะ: ความตระหนี่ (อาจเป็นเหตุให้ฆ่าเพื่อรักษาผลประโยชน์)
  4. กุกกุจจะ: ความเดือดร้อนใจในภายหลัง (มักไม่เกิดขณะทำ แต่เกิดกับโทสะจิตประเภทอื่นได้)

(หมายเหตุ: ใน ๔ ดวงนี้ โทสะเป็นตัวยืนพื้น ส่วนอิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ จะเกิดร่วมเป็นครั้งคราว ไม่เกิดพร้อมกันทั้งหมด)

เราจะแยกองค์ประกอบทั้งหมดนี้ได้อย่างไร? (การวิเคราะห์ตามนัยพระอภิธรรม)

เมื่อเราได้ "ชุดนามธรรม ๒๐ อย่าง" นี้มาแล้ว เราจะนำมันไปวิเคราะห์ด้วย "มาติกา" (แม่บท) ดังนี้:
ตัวอย่างที่ ๑: วิเคราะห์ด้วย "เวทนาติกะ" (หมวด ๓ว่าด้วยเวทนา)
ปุจฉา: นามธรรม ๒๐ อย่างนี้ สัมพันธ์กับเวทนาแบบไหน?
วิสัชนา: สัมพันธ์กับความทุกข์ใจ ความขุ่นมัว จึงจัดเข้าพวก ทุกฺขาย เวทนาย สมฺปยุตฺตา ธมฺมา (ธรรมที่ประกอบด้วยทุกขเวทนา)

ตัวอย่างที่ ๒: วิเคราะห์ด้วย "เหตุทุกะ" (หมวด ๒ว่าด้วยเหตุ)
ปุจฉา: ใน ๒๐ อย่างนี้ อะไรเป็น "เหตุ" อะไร "ไม่ใช่เหตุ"?
วิสัชนา:

  • เหตุ ธมฺมา (ธรรมที่เป็นเหตุ): คือเจตสิกที่เป็นรากเหง้าของความชั่ว ได้แก่ โทสะ และ โมหะ
  • นเหตุ ธมฺมา (ธรรมที่ไม่เป็นเหตุ): คือจิต ๑ ดวง และเจตสิกที่เหลืออีก ๑๗ ดวง

ตัวอย่างที่ ๓: วิเคราะห์ด้วย "สาสวทุกะ" (หมวด ๒ ว่าด้วยอาสวะ)
ปุจฉา: นามธรรม ๒๐ อย่างนี้ เป็นอารมณ์ของอาสวะกิเลสได้หรือไม่?
วิสัชนา: ได้ เพราะเป็นอกุศลกรรมโดยตรงที่เป็นเหตุให้เกิดในภพภูมิต่อไป และเป็นที่ตั้งของกิเลสทั้งปวง ดังนั้นจึงจัดเป็น สาสวา ธมฺมา (ธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ)

บทสรุป

การทำปาณาติบาต ๑ ครั้ง ไม่ใช่การกระทำของ "คน" คนหนึ่งลอยๆ แต่ในช่วงเวลานั้น มีการทำงานร่วมกันของจิตกับเจตสิกที่เกิดดับนับล้าน ๆ ครั้ง มีการทำงานประสานกันอย่างรวดเร็วของ นามธรรมฝ่ายอกุศล ๒๐ ชนิด ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ทำหน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์ แล้วดับไปพร้อมกันทันที แต่ส่งผลกรรมหรือวิบากทิ้งเอาไว้ การที่เราสามารถ "แยก" หรือ "เห็น" ส่วนประกอบเหล่านี้ได้ตามความเป็นจริง ด้วยกำลังของสติและปัญญา นั่นคือการ "เห็นนาม" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายความเห็นผิดว่ามี "ตัวเรา" เป็นผู้โกรธ เป็นผู้ฆ่า แต่เห็นเป็นเพียงกระบวนการของจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยเท่านั้นเอง


*** หมายเหตุ พึงระวังความเห็นผิดที่ว่ามี "ตัวเรา" เป็นผู้โกรธ เป็นผู้ฆ่า (เข้าข่าย สัสสตทิฏฐิ) รวมไปถึงการเห็นผิดว่า "ไม่มีตัวเรา" เป็นผู้โกรธ เป็นผู้ฆ่า (เข้าข่าย อุจเฉททิฏฐิ) ตรงนี้พึงศึกษาจากพุทธธรรมปรับขยายเพิ่มเติม อัตตา – อนัตตา และ อัตตา - นิรัตตา