ในบรรดาจิตทั้งหมดที่พระอภิธรรมจำแนกไว้ โลกุตตรจิต ถือเป็นจิตประเภทสูงสุดและมีความสำคัญที่สุด คำว่า "โลกุตตระ" มาจากคำว่า โลก + อุตตระ แปลว่า "จิตที่ข้ามพ้นจากโลก" โดย "โลก" ในที่นี้หมายถึง โลกียภูมิทั้ง ๓ คือ กามโลก รูปโลก และอรูปโลก อันเป็นที่เวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์

ลักษณะพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของโลกุตตรจิตที่คัมภีร์อัฏฐสาลินีเน้นย้ำ คือ เป็นจิตประเภทเดียวที่มี พระนิพพาน เป็นอารมณ์ ในขณะที่จิตประเภทอื่นทั้งหมด (โลกียจิต) มีอารมณ์เป็นกาม รูป อรูป หรือบัญญัติต่างๆ ซึ่งยังวนเวียนอยู่ในโลก

โลกุตตรจิต

โลกุตตรจิตแบ่งเป็น ๒ ประเภทหลัก คือ:

  • มรรคจิต (Maggacitta): จิตที่ทำหน้าที่ประหารกิเลสโดยสมุจเฉท (ตัดขาดจากราก) เกิดขึ้นเพียงขณะเดียวในแต่ละขั้นของการบรรลุธรรม
  • ผลจิต (Phalacitta): จิตที่เป็นผลจากการประหารกิเลสของมรรคจิต เกิดขึ้นตามหลังมรรคจิตทันที มีพระนิพพานเป็นอารมณ์เช่นกัน และสามารถเกิดขึ้นได้อีกหลายครั้งในสมาธิที่เรียกว่า "ผลสมาบัติ"
  • การเกิดขึ้นและหน้าที่ของโลกุตตรจิต

    คัมภีร์อัฏฐสาลินีอธิบายว่า โลกุตตรจิตไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ แต่เป็นผลจากการบำเพ็ญบารมีและเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างแก่กล้าของผู้ปฏิบัติ โดยมีลำดับดังนี้:

  • ผู้ปฏิบัติจะต้องเจริญทั้ง สมถะ (ความสงบ, สมาธิ) และ วิปัสสนา (ปัญญาเห็นแจ้ง)
  • เมื่อวิปัสสนาญาณแก่กล้า จนเห็นสภาวะของรูปนาม (กายและใจ) ตามความเป็นจริงว่าเป็น ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง (ไม่เที่ยง), ทุกขัง (เป็นทุกข์), และอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน) อย่างชัดเจน
  • เมื่อปัญญาถึงจุดสูงสุด กระแสของโลกียจิตจะถูกตัดขาด และ มรรคจิต จะผุดขึ้นมาเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชาตินั้นๆ โดยมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทำหน้าที่ประหารกิเลสตามลำดับขั้น
  • เมื่อมรรคจิตดับลง ผลจิต จะเกิดขึ้น ๒-๓ ขณะจิต เพื่อเสพอารมณ์แห่งพระนิพพานอันเป็นผลจากความสิ้นไปแห่งกิเลส
  • การจำแนกโลกุตตรจิต

    โลกุตตรจิตสามารถจำแนกได้ ๒ แบบ คือ แบบย่อ (สังเขปนัย) และแบบละเอียด (วิตถารนัย)

    ๑. การจำแนกโดยย่อเป็น ๘ ดวง (โลกุตตรจิต ๘)

    เป็นการจำแนกตามระดับการบรรลุธรรม ๔ ขั้น ซึ่งแต่ละขั้นจะมีมรรคจิต ๑ ดวง และผลจิต ๑ ดวง รวมเป็น ๘ ดวง ดังนี้

    ก. โสตาปัตติมรรคจิต ๑ และ โสตาปัตติผลจิต ๑

    โสตาบัน แปลว่า "ผู้ถึงกระแส" (แห่งพระนิพพาน) มรรคจิตในชั้นนี้จะประหาร สังโยชน์ (กิเลสที่ผูกมัด) เบื้องต่ำ ๓ ประการ ได้แก่:

  • สักกายทิฏฐิ: ความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นตัวตนของเรา
  • วิจิกิจฉา: ความลังเลสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย
  • สีลัพพตปรามาส: ความเชื่อถืองมงายในข้อปฏิบัติที่ผิดทาง
  • ผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ และจะไม่เกิดในอบายภูมิอีกต่อไป

    ข. สกทาคามิมรรคจิต ๑ และ สกทาคามิผลจิต ๑

    สกทาคามี แปลว่า "ผู้จะกลับมาอีกครั้งเดียว" หน้าที่ของมรรคจิตคือไม่ได้ประหารสังโยชน์เพิ่มเติม แต่ทำ ราคะ (ความกำหนัดยินดี) และ โทสะ (ความขัดเคืองใจ) อย่างหยาบให้เบาบางลง ผู้ที่บรรลุเป็นพระสกทาคามี จะกลับมาเกิดในกามโลกอีกเพียงครั้งเดียว

    ค. อนาคามิมรรคจิต ๑ และ อนาคามิผลจิต ๑

    อนาคามี แปลว่า "ผู้ไม่กลับมา" (สู่กามโลกอีก) มรรคจิตจะประหารสังโยชน์เบื้องต่ำอีก ๒ ประการที่เหลือจนหมดสิ้น ได้แก่:

  • กามราคะ: ความพอใจในกามคุณ ๕
  • ปฏิฆะ: ความกระทบกระทั่งในใจ ความโกรธ
  • ผู้ที่บรรลุเป็นพระอนาคามี จะไม่กลับมาเกิดในกามโลกอีก แต่จะไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาสและบรรลุพระนิพพานที่นั่น

    ง. อรหัตตมรรคจิต ๑ และ อรหัตตผลจิต ๑

    อรหันต์ แปลว่า "ผู้ห่างไกลจากกิเลส" มรรคจิตจะประหาร สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ประการ ที่เหลือทั้งหมด ได้แก่:

  • รูปราคะ: ความติดใจในรูปฌานหรือรูปพรหมโลก
  • อรูปราคะ: ความติดใจในอรูปฌานหรืออรูปพรหมโลก
  • มานะ: ความถือตัว สำคัญตน
  • อุทธัจจะ: ความฟุ้งซ่านแห่งจิต
  • อวิชชา: ความไม่รู้ในอริยสัจ ๔
  • ผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ถือเป็น พระขีณาสพ (ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว) ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป

    ๒. การจำแนกโดยละเอียดเป็น ๔๐ ดวง (โลกุตตรจิต ๔๐)

    คัมภีร์อัฏฐสาลินีได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ที่โลกุตตรจิตขยายจาก ๘ เป็น ๔๐ ดวงนั้น เป็นเพราะอาศัย ฌานสมาบัติ เป็นบาทฐานในการเจริญวิปัสสนา เมื่อผู้ปฏิบัติใช้ฌานใดเป็นฐาน เมื่อบรรลุมรรคผล มรรคจิตและผลจิตที่เกิดขึ้นก็จะมีองค์ประกอบของฌานนั้นๆ ติดมาด้วย ฌานมี ๕ ระดับ (ปัญจกนัย) เมื่อนำไปคูณกับโลกุตตรจิต ๘ ดวง จึงได้เป็น ๔๐ ดวง

    สูตรการคำนวณ: โลกุตตรจิต ๘ ดวง x องค์ฌาน ๕ = ๔๐ ดวง

    ตัวอย่างเช่น:

    • ผู้ที่ใช้ปฐมฌานเป็นฐาน เมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบัน จิตที่ได้จะเป็น โสตาปัตติมรรคจิตที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ๕ (วิตก, วิจาร, ปีติ, สุข, เอกัคคตา)
    • ผู้ที่ใช้ปัญจมฌานเป็นฐาน เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ จิตที่ได้จะเป็น อรหัตตมรรคจิตที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ๒ (อุเบกขา, เอกัคคตา)
    • 💡คำอธิบายเพิ่มเติม "ทำไมโลกุตตรจิตจาก ๘ ดวง ถึงกลายเป็น ๔๐ ดวงได้"

    สรุปเปรียบเทียบโลกุตตรจิต ๘ ดวง

    ลำดับ มรรคจิต/ผลจิต ความหมาย สังโยชน์ที่ถูกประหาร
    ๑-๒ โสตาปัตติ ผู้ถึงกระแส สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส (๓ ข้อ)
    ๓-๔ สกทาคามี ผู้กลับมาอีกครั้งเดียว ทำราคะและโทสะอย่างหยาบให้เบาบาง
    ๕-๖ อนาคามี ผู้ไม่กลับมา กามราคะ, ปฏิฆะ (๒ ข้อ)
    ๗-๘ อรหัตตะ ผู้ห่างไกลจากกิเลส รูปราคะ, อรูปราคะ, มานะ, อุทธัจจะ, อวิชชา (๕ ข้อ)

    บทสรุป

    โลกุตตรจิต คือจิตที่ทำหน้าที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นจิตที่นำพาสรรพสัตว์ออกจากทุกข์ในวัฏสงสารโดยสิ้นเชิง การที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทำให้จิตประเภทนี้มีสภาวะที่แตกต่างจากโลกียจิตโดยสิ้นเชิง คัมภีร์อัฏฐสาลินีได้จำแนกและอธิบายคุณลักษณะ หน้าที่ และการเกิดขึ้นของจิตเหล่านี้ไว้อย่างเป็นระบบและลึกซึ้ง แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรมคือการชำระจิตให้บริสุทธิ์จนข้ามพ้นจากโลกได้อย่างถาวร