ในบรรดาจิตทั้งหมดที่พระอภิธรรมจำแนกไว้ โลกุตตรจิต ถือเป็นจิตประเภทสูงสุดและมีความสำคัญที่สุด คำว่า "โลกุตตระ" มาจากคำว่า โลก + อุตตระ แปลว่า "จิตที่ข้ามพ้นจากโลก" โดย "โลก" ในที่นี้หมายถึง โลกียภูมิทั้ง ๓ คือ กามโลก รูปโลก และอรูปโลก อันเป็นที่เวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์
ลักษณะพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ของโลกุตตรจิตที่คัมภีร์อัฏฐสาลินีเน้นย้ำ คือ เป็นจิตประเภทเดียวที่มี พระนิพพาน เป็นอารมณ์ ในขณะที่จิตประเภทอื่นทั้งหมด (โลกียจิต) มีอารมณ์เป็นกาม รูป อรูป หรือบัญญัติต่างๆ ซึ่งยังวนเวียนอยู่ในโลก

โลกุตตรจิตแบ่งเป็น ๒ ประเภทหลัก คือ:
การเกิดขึ้นและหน้าที่ของโลกุตตรจิต
คัมภีร์อัฏฐสาลินีอธิบายว่า โลกุตตรจิตไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ แต่เป็นผลจากการบำเพ็ญบารมีและเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างแก่กล้าของผู้ปฏิบัติ โดยมีลำดับดังนี้:
การจำแนกโลกุตตรจิต
โลกุตตรจิตสามารถจำแนกได้ ๒ แบบ คือ แบบย่อ (สังเขปนัย) และแบบละเอียด (วิตถารนัย)
๑. การจำแนกโดยย่อเป็น ๘ ดวง (โลกุตตรจิต ๘)
เป็นการจำแนกตามระดับการบรรลุธรรม ๔ ขั้น ซึ่งแต่ละขั้นจะมีมรรคจิต ๑ ดวง และผลจิต ๑ ดวง รวมเป็น ๘ ดวง ดังนี้
ก. โสตาปัตติมรรคจิต ๑ และ โสตาปัตติผลจิต ๑
โสตาบัน แปลว่า "ผู้ถึงกระแส" (แห่งพระนิพพาน) มรรคจิตในชั้นนี้จะประหาร สังโยชน์ (กิเลสที่ผูกมัด) เบื้องต่ำ ๓ ประการ ได้แก่:
ผู้ที่บรรลุเป็นพระโสดาบัน จะเกิดอีกอย่างมากไม่เกิน ๗ ชาติ และจะไม่เกิดในอบายภูมิอีกต่อไป
ข. สกทาคามิมรรคจิต ๑ และ สกทาคามิผลจิต ๑
สกทาคามี แปลว่า "ผู้จะกลับมาอีกครั้งเดียว" หน้าที่ของมรรคจิตคือไม่ได้ประหารสังโยชน์เพิ่มเติม แต่ทำ ราคะ (ความกำหนัดยินดี) และ โทสะ (ความขัดเคืองใจ) อย่างหยาบให้เบาบางลง ผู้ที่บรรลุเป็นพระสกทาคามี จะกลับมาเกิดในกามโลกอีกเพียงครั้งเดียว
ค. อนาคามิมรรคจิต ๑ และ อนาคามิผลจิต ๑
อนาคามี แปลว่า "ผู้ไม่กลับมา" (สู่กามโลกอีก) มรรคจิตจะประหารสังโยชน์เบื้องต่ำอีก ๒ ประการที่เหลือจนหมดสิ้น ได้แก่:
ผู้ที่บรรลุเป็นพระอนาคามี จะไม่กลับมาเกิดในกามโลกอีก แต่จะไปเกิดในพรหมโลกชั้นสุทธาวาสและบรรลุพระนิพพานที่นั่น
ง. อรหัตตมรรคจิต ๑ และ อรหัตตผลจิต ๑
อรหันต์ แปลว่า "ผู้ห่างไกลจากกิเลส" มรรคจิตจะประหาร สังโยชน์เบื้องสูง ๕ ประการ ที่เหลือทั้งหมด ได้แก่:
ผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ถือเป็น พระขีณาสพ (ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว) ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
๒. การจำแนกโดยละเอียดเป็น ๔๐ ดวง (โลกุตตรจิต ๔๐)
คัมภีร์อัฏฐสาลินีได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ที่โลกุตตรจิตขยายจาก ๘ เป็น ๔๐ ดวงนั้น เป็นเพราะอาศัย ฌานสมาบัติ เป็นบาทฐานในการเจริญวิปัสสนา เมื่อผู้ปฏิบัติใช้ฌานใดเป็นฐาน เมื่อบรรลุมรรคผล มรรคจิตและผลจิตที่เกิดขึ้นก็จะมีองค์ประกอบของฌานนั้นๆ ติดมาด้วย ฌานมี ๕ ระดับ (ปัญจกนัย) เมื่อนำไปคูณกับโลกุตตรจิต ๘ ดวง จึงได้เป็น ๔๐ ดวง
สูตรการคำนวณ: โลกุตตรจิต ๘ ดวง x องค์ฌาน ๕ = ๔๐ ดวง
ตัวอย่างเช่น:
- ผู้ที่ใช้ปฐมฌานเป็นฐาน เมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบัน จิตที่ได้จะเป็น โสตาปัตติมรรคจิตที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ๕ (วิตก, วิจาร, ปีติ, สุข, เอกัคคตา)
- ผู้ที่ใช้ปัญจมฌานเป็นฐาน เมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์ จิตที่ได้จะเป็น อรหัตตมรรคจิตที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ๒ (อุเบกขา, เอกัคคตา) 💡คำอธิบายเพิ่มเติม "ทำไมโลกุตตรจิตจาก ๘ ดวง ถึงกลายเป็น ๔๐ ดวงได้"
สรุปเปรียบเทียบโลกุตตรจิต ๘ ดวง
ลำดับ | มรรคจิต/ผลจิต | ความหมาย | สังโยชน์ที่ถูกประหาร |
---|---|---|---|
๑-๒ | โสตาปัตติ | ผู้ถึงกระแส | สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส (๓ ข้อ) |
๓-๔ | สกทาคามี | ผู้กลับมาอีกครั้งเดียว | ทำราคะและโทสะอย่างหยาบให้เบาบาง |
๕-๖ | อนาคามี | ผู้ไม่กลับมา | กามราคะ, ปฏิฆะ (๒ ข้อ) |
๗-๘ | อรหัตตะ | ผู้ห่างไกลจากกิเลส | รูปราคะ, อรูปราคะ, มานะ, อุทธัจจะ, อวิชชา (๕ ข้อ) |