🎧 ฟังสาธยายสวดบาลี ☸️มาติกาพร้อมคำแปล และอธิบายความ ทั้ง ๑๖๔ หัวข้อ (สำเนียงลังกา)

มาติกา
ติกมาติกา คือ แม่บทหรือหัวข้อธรรมที่จัดเป็นหมวด ๓ ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักและเป็นหัวใจของการวิเคราะห์สภาวธรรมทั้งหมดในพระอภิธรรมปิฎก ตามที่อธิบายไว้ในคัมภีร์อัฏฐสาลินี ติกมาติกานี้เปรียบเสมือน "สารบัญ" ที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ก่อนจะอธิบายเนื้อหาพระอภิธรรมโดยละเอียด เพื่อแสดงให้เห็นถึงขอบเขตและวิธีการจำแนกธรรมทั้งปวง

ติกมาติกาประกอบด้วยหัวข้อใหญ่ ๒๒ หมวด (ติกะ) แต่ละหมวดจะแบ่งสภาวธรรมออกเป็น ๓ ประเภท

ติกมาติกา ๒๒ หมวด

  1. กุสลติกะ (หมวดกุศล)

    ว่าด้วยสภาวธรรมที่เป็น ๑. กุศล (สภาพที่ดีงาม ให้ผลเป็นสุข), ๒. อกุศล (สภาพที่ชั่ว ให้ผลเป็นทุกข์), ๓. อัพยากตะ (สภาพที่เป็นกลางๆ ไม่ใช่ทั้งกุศลและอกุศล เช่น ผลของกรรม, กิริยาจิต, รูป, และนิพพาน)

  2. เวทนาติกะ (หมวดเวทนา)

    ว่าด้วยสภาวธรรมที่เกิดร่วมกับ ๑. สุขเวทนา (ความรู้สึกสุขกายสบายใจ), ๒. ทุกขเวทนา (ความรู้สึกทุกข์กายทุกข์ใจ), ๓. อทุกขมสุขเวทนา (ความรู้สึกเฉยๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข)

  3. วิปากติกะ (หมวดวิบาก)

    ว่าด้วยสภาวธรรมที่เป็น ๑. วิบาก (ผลของกรรม), ๒. วิปากธัมมธัมมะ (ธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดผล), ๓. เนววิปากนวิปากธัมมธัมมะ (ธรรมที่ไม่ใช่ทั้งวิบากและเหตุให้เกิดวิบาก)

  4. อุปาทินนุปาทานิยติกะ (หมวดธรรมที่กรรมยึดครองและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน)

    ว่าด้วยธรรมที่ ๑. ถูกกรรมยึดครองและเป็นที่ตั้งของอุปาทาน, ๒. ไม่ถูกกรรมยึดครองแต่เป็นที่ตั้งของอุปาทาน, ๓. ไม่ถูกกรรมยึดครองและไม่เป็นที่ตั้งของอุปาทาน (คือ โลกุตตรธรรม)

  5. สังกิลิฏฐสังกิเลสิกติกะ (หมวดธรรมที่เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลส)

    ว่าด้วยธรรมที่ ๑. เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลส, ๒. ไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส, ๓. ไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส

  6. สวิตักกสวิจารติกะ (หมวดวิตกวิจาร)

    ว่าด้วยสภาวธรรมที่เกิดพร้อมกับ ๑. ทั้งวิตกและวิจาร, ๒. ไม่มีวิตกแต่มีวิจาร, ๓. ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร (สภาวะจิตในฌานขั้นสูง)

  7. ปีติสหคตติกะ (หมวดปีติ)

    ว่าด้วยสภาวธรรมที่เกิดพร้อมกับ ๑. ปีติ (ความอิ่มใจ), ๒. สุข (ความสบาย), ๓. อุเบกขา (ความเฉยๆ)

  8. ทัสสนปหาตัพพติกะ (หมวดธรรมที่ต้องละ)

    ว่าด้วยธรรมที่ต้องละด้วย ๑. ทัสสนะ (การเห็นแจ้งอริยสัจครั้งแรก คือ โสดาปัตติมรรค), ๒. ภาวนา (การเจริญมรรคเบื้องสูง), ๓. ไม่ต้องละ (คือ โลกุตตรธรรม)

  9. ทัสสนปหาตัพพเหตุกติกะ (หมวดเหตุแห่งธรรมที่ต้องละ)

    ว่าด้วยธรรมที่มีเหตุที่ต้องละด้วย ๑. ทัสสนะ, ๒. ภาวนา, ๓. ไม่มีเหตุที่ต้องละ

  10. อาจยคามิติกะ (หมวดธรรมที่นำไปสู่)

    ว่าด้วยธรรมที่นำไปสู่ ๑. การสั่งสมกิเลส, ๒. การออกจากกิเลส, ๓. ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

  11. เสกขติกะ (หมวดเสกขะ)

    ว่าด้วยธรรมที่เป็นของ ๑. พระเสกขะ (ผู้ยังต้องศึกษา คือ พระโสดาบันถึงอนาคามี), ๒. พระอเสกขะ (ผู้ไม่ต้องศึกษาแล้ว คือ พระอรหันต์), ๓. ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

  12. ปริตตติกะ (หมวดธรรมเล็กน้อย)

    ว่าด้วยธรรมที่เป็น ๑. ปริตตะ (เล็กน้อย คือ ธรรมในกามภูมิ), ๒. มหัคคตะ (ยิ่งใหญ่ คือ ธรรมในรูปภูมิและอรูปภูมิ), ๓. อัปปมาณะ (หาประมาณมิได้ คือ โลกุตตรธรรม)

  13. ปริตตารัมมณติกะ (หมวดธรรมที่มีอารมณ์เล็กน้อย)

    ว่าด้วยธรรมที่มี ๑. อารมณ์เล็กน้อย, ๒. อารมณ์ยิ่งใหญ่, ๓. อารมณ์หาประมาณมิได้ เป็นอารมณ์

  14. หีนติกะ (หมวดธรรมเลว)

    ว่าด้วยธรรมที่เป็น ๑. หีนะ (เลว), ๒. มัชฌิมะ (ปานกลาง), ๓. ปณีตะ (ประณีต)

  15. มิจฉัตตติกะ (หมวดมิจฉัตตะ)

    ว่าด้วยธรรมที่แน่นอนในฝ่าย ๑. ผิด, ๒. ถูก, ๓. ไม่แน่นอน

  16. มัคคารัมมณติกะ (หมวดธรรมมีมรรคเป็นอารมณ์)

    ว่าด้วยธรรมที่มี ๑. มรรคเป็นอารมณ์, ๒. มรรคเป็นเหตุ, ๓. มรรคเป็นใหญ่

  17. อุปปันนติกะ (หมวดธรรมที่เกิดขึ้น)

    ว่าด้วยธรรมที่ ๑. เกิดขึ้นแล้ว, ๒. ยังไม่เกิดขึ้น, ๓. จักต้องเกิดขึ้นแน่นอน

  18. อตีตติกะ (หมวดอดีต)

    ว่าด้วยธรรมที่เป็น ๑. อดีต, ๒. อนาคต, ๓. ปัจจุบัน

  19. อตีตารัมมณติกะ (หมวดธรรมมีอดีตเป็นอารมณ์)

    ว่าด้วยธรรมที่มี ๑. อดีตเป็นอารมณ์, ๒. อนาคตเป็นอารมณ์, ๓. ปัจจุบันเป็นอารมณ์

  20. อัชฌัตตติกะ (หมวดภายใน)

    ว่าด้วยธรรมที่เป็น ๑. ภายใน, ๒. ภายนอก, ๓. ทั้งภายในและภายนอก

  21. อัชฌัตตารัมมณติกะ (หมวดธรรมมีภายในเป็นอารมณ์)

    ว่าด้วยธรรมที่มี ๑. ภายในเป็นอารมณ์, ๒. ภายนอกเป็นอารomณ์, ๓. ทั้งภายในและภายนอกเป็นอารมณ์

  22. สนิทัสสนสัปปฏิฆติกะ (หมวดธรรมที่เห็นได้และกระทบได้)

    ว่าด้วยธรรมที่ ๑. เห็นได้และกระทบได้ (คือ รูปารมณ์), ๒. เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ (คือ อายตนะภายใน ๕ และอารมณ์ ๔), ๓. เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ (คือ ธรรมอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมด)