อรูปาวจรจิต

ในบรรดาจิตทั้งหลาย อรูปาวจรจิต จัดเป็นจิตที่ประณีตอย่างยิ่ง เป็นจิตที่ท่องเที่ยวหรือหยั่งลงในอารมณ์ที่ปราศจากรูปธรรมโดยสิ้นเชิง จิตประเภทนี้เป็นผลจากการเจริญสมถกรรมฐานที่เรียกว่า อรูปฌาน ซึ่งเป็นฌานที่ก้าวข้ามรูปฌานขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

คัมภีร์อัฏฐสาลินีได้อธิบายรายละเอียดของอรูปาวจรจิตแต่ละดวงไว้อย่างพิสดาร โดยเน้นที่ อารมณ์ ของจิตแต่ละขั้น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้จิตทั้ง ๔ ดวงนี้แตกต่างกัน

อรูปาวจรจิตมีทั้งหมด ๑๒ ดวง แต่เมื่อนับโดยประเภทแห่งฌาน จะมี ๔ ประเภท ได้แก่:

  • อากาสานัญจายตนจิต
  • วิญญาณัญจายตนจิต
  • อากิญจัญญายตนจิต
  • เนวสัญญานาสัญญายตนจิต
  • ในแต่ละประเภท จะแบ่งย่อยออกเป็น ๓ ชาติ คือ:

    • กุศลจิต (๔ ดวง): จิตของผู้ที่กำลังบำเพ็ญเพียรเจริญอรูปฌานนั้นๆ (ยังไม่เป็นพระอรหันต์)
    • วิบากจิต (๔ ดวง): จิตที่เป็นผลของกุศลนั้น ทำให้ไปเกิดในอรูปพรหมโลก และเป็นภวังคจิต รักษาภพชาตินั้นไว้
    • กิริยาจิต (๔ ดวง): จิตของพระอรหันต์ที่เข้าอรูปฌาน ไม่ใช่กุศลและไม่ใช่อกุศล ไม่ส่งผลให้เกิดในภพใหม่อีกต่อไป

    ๑. ปฐมอรูปฌานจิต: อากาสานัญจายตนจิต (จิตที่มีอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์)

    ที่มาและวิธีการ:
    ผู้ปฏิบัติที่ชำนาญในรูปฌาน ๕ (ปัญจมฌาน) แล้ว ปรารถนาจะเจริญฌานที่สูงขึ้นไป ท่านเห็นโทษของรูปฌานว่ายังมีความเกี่ยวข้องกับรูปธรรม (กสิณ) ซึ่งเป็นของหยาบ และยังใกล้กับกามฉันทะ จึงต้องการก้าวข้ามรูปทั้งหมด

    วิธีการตามที่อัฏฐสาลินีอธิบายไว้ คือ:

    • ผู้ปฏิบัติจะเพิกถอนอารมณ์เดิมคือ ดวงกสิณ (เช่น ปฐวีกสิณ) ออกไป
    • เมื่อเพิกดวงกสิณซึ่งเป็นรูปธรรมออกไปแล้ว สิ่งที่ปรากฏแทนที่คือ "ช่องว่าง" หรือ "อากาศ" ที่เคยเป็นที่ตั้งของดวงกสิณนั้น
    • จากนั้น ผู้ปฏิบัติจะไม่สนใจขอบเขตของอากาศนั้น แต่จะมนสิการ (ใส่ใจ) ในอากาศนั้นว่า "อากาโส อนนฺโต" แปลว่า "อากาศไม่มีที่สิ้นสุด"
    • ท่านจะบริกรรมเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตแน่วแน่เป็นอัปปนาสมาธิ หยั่งลงในอารมณ์คืออากาศบัญญัติที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น เกิดเป็น อากาสานัญจายตนกุศลจิต

    อารมณ์ของจิต: คือ อากาศบัญญัติ (กสิณุคฆาฏิมากาสบัญญัติ) หมายถึง บัญญัติเรื่องอากาศที่เกิดจากการเพิกกสิณออกไป ไม่ใช่อากาศธาตุจริงๆ แต่เป็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้นจากการรับรู้ถึงความว่างเปล่าจากการไม่มีรูป

    ๒. ทุติยอรูปฌานจิต: วิญญาณัญจายตนจิต (จิตที่มีวิญญาณไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์)

    ที่มาและวิธีการ:
    เมื่อผู้ปฏิบัติชำนาญในอากาสานัญจายตนฌานแล้ว ก็เห็นว่าฌานนี้ยังมีความหยาบอยู่ เพราะยังมีอารมณ์ที่เนื่องด้วยอากาศ (แม้จะเป็นบัญญัติ) และยังใกล้กับรูปฌานอยู่ จึงปรารถนาจะละอารมณ์นั้น

    วิธีการ คือ:

    • ผู้ปฏิบัติจะเลิกใส่ใจในอากาศบัญญัติ
    • แต่จะหันกลับมาพิจารณา "จิต" ของตนเองที่กำลังรับรู้อากาศไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ซึ่งก็คือ อากาสานัญจายตนจิต นั่นเอง
    • ท่านจะมนสิการในจิตดวงนั้นว่า "วิญฺญาณํ อนนฺตํ" แปลว่า "วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด"
    • ท่านจะบริกรรมไปจนจิตแน่วแน่ หยั่งลงในอารมณ์คืออากาสานัญจายตนจิตนั้นเอง เกิดเป็น วิญญาณัญจายตนกุศลจิต

    อารมณ์ของจิต: คือ อากาสานัญจายตนกุศลจิต (จิตในฌานขั้นที่ ๑) ที่แผ่ไปในอากาศไม่มีที่สิ้นสุดนั้นเอง จิตในขั้นนี้จึงมีจิตเป็นอารมณ์ ซึ่งเป็นสภาวะที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง

    ๓. ตติยอรูปฌานจิต: อากิญจัญญายตนจิต (จิตที่มีความไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์)

    ที่มาและวิธีการ:
    เมื่อชำนาญในวิญญาณัญจายตนฌานแล้ว ผู้ปฏิบัติก็เห็นว่าฌานนี้ยังไม่ประณีตที่สุด เพราะการมีจิตเป็นอารมณ์ก็ยังถือว่ามี "สิ่ง" ให้ยึดอยู่ จึงต้องการจะก้าวไปสู่สภาวะที่ว่างเปล่ายิ่งกว่าเดิม

    วิธีการ คือ:

    • ผู้ปฏิบัติจะเลิกใส่ใจในวิญญาณัญจายตนจิต (จิตที่รู้แจ้งในวิญญาณอันไม่มีที่สุด)
    • แล้วหันมามนสิการถึง "ความไม่มีอยู่" หรือ "ความว่างเปล่า" ของจิตดวงนั้น (คืออากาสานัญจายตนจิตที่เป็นอารมณ์ของฌานที่ ๒)
    • ท่านจะมนสิการว่า "นตฺถิ กิญฺจิ" แปลว่า "ไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อย"
    • เมื่อบริกรรมถึงความไม่มีอะไรเลย จนจิตแน่วแน่ หยั่งลงในอารมณ์นั้น ก็จะเกิดเป็น อากิญจัญญายตนกุศลจิต

    อารมณ์ของจิต: คือ นัตถิภาวบัญญัติ ซึ่งหมายถึง บัญญัติที่เกิดจากการรับรู้ถึงความไม่มีอยู่ หรือความดับไปของอากาสานัญจายตนกุศลจิต (ซึ่งเคยเป็นอารมณ์ของฌานที่ ๒) เป็นสภาวะที่ว่างเปล่าอย่างแท้จริง

    ๔. จตุตถอรูปฌานจิต: เนวสัญญานาสัญญายตนจิต (จิตที่เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่)

    ที่มาและวิธีการ:
    นี่คือฌานสมาบัติขั้นสูงสุดในฝ่ายโลกิยะ เมื่อผู้ปฏิบัติชำนาญในอากิญจัญญายตนฌานแล้ว ท่านพิจารณาว่า แม้ฌานที่ ๓ จะประณีต แต่การรับรู้ว่า "ไม่มีอะไรเลย" ก็ยังเป็น "สัญญา" (ความจำได้หมายรู้) รูปแบบหนึ่งซึ่งยังหยาบอยู่ จึงปรารถนาจะทำให้สัญญานั้นละเอียดลงไปอีกจนแทบจะไม่มี

    วิธีการ คือ:

    • ผู้ปฏิบัติจะใช้อากิญจัญญายตนกุศลจิต (จิตในฌานที่ ๓) เป็นอารมณ์
    • จากนั้นท่านจะมนสิการในจิตดวงนั้นว่า "สนฺตเมตํ ปณีตเมตํ" แปลว่า "ธรรมชาตินี้สงบหนอ ประณีตหนอ"
    • การมนสิการเช่นนี้จะทำให้จิตที่เกิดขึ้นใหม่มีความละเอียดอย่างยิ่งยวด สัญญาและเจตสิกอื่นๆ ที่ประกอบในจิตนั้นก็พลอยละเอียดตามไปด้วย จนอยู่ในภาวะที่:
      • จะว่า มีสัญญา ก็ไม่ใช่ เพราะสัญญานั้นละเอียดมากจนไม่สามารถทำหน้าที่จำหรือหมายรู้อะไรได้อย่างชัดเจน
      • จะว่า ไม่มีสัญญา ก็ไม่ใช่ เพราะสัญญายังคงมีอยู่ ไม่ได้ดับไปโดยสิ้นเชิง (เหมือนในอสัญญสัตตาพรหม หรือนิโรธสมาบัติ)
    • สภาวะนี้จึงถูกเรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ (มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่)

    อารมณ์ของจิต: คือ อากิญจัญญายตนกุศลจิต (จิตในฌานที่ ๓) แต่เป็นการรับรู้ที่ละเอียดประณีตที่สุด จนสัญญามีความไหวตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    สรุปเปรียบเทียบอารมณ์ของอรูปาวจรจิต ๔ ขั้น

    ลำดับ ชื่อจิต คำแปล อารมณ์ของจิตตามนัยอัฏฐสาลินี
    อากาสานัญจายตนจิต จิตมีอากาศไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ อากาศบัญญัติ (ความว่างที่เกิดจากการเพิกกสิณ)
    วิญญาณัญจายตนจิต จิตมีวิญญาณไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ อากาสานัญจายตนกุศลจิต (จิตในฌานที่ ๑)
    อากิญจัญญายตนจิต จิตมีความไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์ นัตถิภาวบัญญัติ (ความไม่มีอยู่ของจิตในฌานที่ ๑)
    เนวสัญญานาสัญญายตนจิต จิตมีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีก็มิใช่ อากิญจัญญายตนกุศลจิต (จิตในฌานที่ ๓)

    บทสรุป

    คัมภีร์อัฏฐสาลินีได้ชี้ให้เห็นว่า อรูปาวจรจิต คือลำดับขั้นของการพัฒาจิตที่ก้าวพ้นจากอารมณ์ที่เป็น "รูป" ไปสู่อารมณ์ที่เป็น "นาม" และ "บัญญัติ" ที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จากความว่างของอากาศ สู่ตัวจิตผู้รู้เอง จากนั้นก็ก้าวไปสู่ความไม่มีอยู่ของอารมณ์นั้น และสุดท้ายคือสภาวะที่การรับรู้แทบจะหยุดนิ่ง ถือเป็นยอดสูงสุดของสมาธิในฝ่ายโลกิยะ อย่างไรก็ตาม แม้จะประณีตเพียงใดจิตเหล่านี้ก็ยังไม่พ้นจากวัฏสงสาร การจะหลุดพ้นได้อย่างแท้จริงจำเป็นต้องอาศัยปัญญาจากวิปัสสนากรรมฐานเพื่อเห็นแจ้งในพระนิพพานต่อไป