สมมติสถานการณ์: ขณะที่เห็นผู้ที่ควรให้ทาน เช่น สมณะ, ยาจก แล้ว จิตเกิดความรู้สึกยินดี มีความเข้าใจในผลของบุญ และตัดสินใจที่จะให้ทานด้วยตนเองโดยไม่มีใครชักชวน จิตขณะนั้นในทาง พระอภิธรรมคือ "มหากุศลจิตดวงที่ ๑" ซึ่งมีชื่อเต็มว่า: โสมนัสสสหคตัง ญาณสัมปยุตตัง อสังขาริกัง (จิตมหากุศลที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องมีใครชวน ประกอบด้วยความดีใจ และมีปัญญาประกอบ) นี่คือจิตที่ดีที่สุดในบรรดาจิตฝ่ายโลกียะ ต่อไปจะจำแนกองค์ประกอบทั้งหมดที่เกิดขึ้น "พร้อมกัน" ในชั่วขณะจิตนั้น

การจำแนกจิต

องค์ประกอบทั้งหมดในจิตให้ทาน ๑ ขณะ (จิต ๑ + เจตสิก ๓๘)

ในชั่วลัดนิ้วมือเดียวที่จิตดวงนี้เกิดขึ้น ไม่ได้มีแค่ตัวจิต (สภาวะที่รับรู้) แต่มี "เจตสิก" (สภาวะที่ปรุงแต่งจิต) เกิดขึ้นพร้อมกัน ทำงานร่วมกัน และดับไปพร้อมกันด้วย ในกรณีของจิตดวงนี้ มีเจตสิกเกิดร่วมได้สูงสุดถึง ๓๘ ดวง รวมแล้ว ใน ๑ ขณะจิตนั้น มี "นามธรรม" เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมด ๓๙ อย่าง คือ

ตัวประธาน: จิต ๑ ดวง

  • มหากุศลจิตดวงที่ ๑: ทำหน้าที่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ คือรู้เรื่องการให้ทานนั้น

เกิดร่วมกับจิต: เจตสิก ๓๘ ดวง (แบ่งเป็น ๓ กลุ่มหลัก)

กลุ่มที่ ๑: สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ดวง (เกิดกับจิตทุกดวงเสมอ)

  1. ผัสสะ: สภาวะที่กระทบอารมณ์ (การรับรู้เรื่องการให้ทาน)
  2. เวทนา: สภาวะที่เสวยอารมณ์ (ในที่นี้คือ โสมนัสเวทนา หรือความสุขใจ ดีใจ)
  3. สัญญา: ความจำได้หมายรู้ (จำได้ว่านี่คือการทำบุญ, นี่คือปัจจัย, นี่คือผู้รับ)
  4. เจตนา: ความจงใจ, ความตั้งใจ (ความจงใจที่จะให้ทาน) นี่คือตัวกรรม
  5. เอกัคคตา: ความมีอารมณ์เดียว (จิตแน่วแน่กับการให้ทานในขณะนั้น)
  6. ชีวิตินทรีย์: สภาวะที่หล่อเลี้ยงนามธรรม (จิตและเจตสิก) ที่เกิดพร้อมกันให้ดำรงอยู่ได้
  7. มนสิการ: สภาวะที่ทำหน้าที่ใส่ใจในอารมณ์ (การน้อมจิตไปสู่การให้ทาน)

กลุ่มที่ ๒: ปกิณณกเจตสิก ๖ ดวง (เจตสิกที่เกิดกับจิตเป็นบางครั้ง)

  1. วิตก: การตรึกถึงอารมณ์ (การยกจิตขึ้นสู่เรื่องการให้ทาน)
  2. วิจาร: การประคองจิตไว้ในอารมณ์ (การเคล้าคลึงอยู่กับเรื่องการให้ทาน)
  3. อธิโมกข์: ความตัดสินใจ (ความปักใจเชื่อมั่นว่าจะให้ ไม่ลังเล)
  4. วิริยะ: ความเพียร (ความพยายามทางใจในการทำกุศลนี้)
  5. ปีติ: ความอิ่มใจ, ความซาบซ่านใจ (ความฟูใจที่ได้ทำความดี)
  6. ฉันทะ: ความพอใจ, ความรักใคร่ในอารมณ์ (ความพอใจที่จะให้)

กลุ่มที่ ๓: โสภณเจตสิก ๒๕ ดวง (เจตสิกฝ่ายดีงาม)

(ก) โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ดวง (เกิดกับจิตที่ดีงามทุกดวง)

  1. ศรัทธา: ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล (เชื่อในผลของทาน)
  2. สติ: ความระลึกได้ (ระลึกในการทำความดี ไม่เผลอ)
  3. หิริ: ความละอายต่อบาป
  4. โอตตัปปะ: ความเกรงกลัวต่อผลของบาป
  5. อโลภะ: ความไม่โลภ, ความเสียสละ (ตัวสำคัญของการให้ทาน)
  6. อโทสะ: ความไม่โกรธ, ความมีเมตตา (จิตประกอบด้วยไมตรี)
  7. ตัตรมัชฌัตตตา: ความเป็นกลางในอารมณ์นั้น (อุเบกขาพรหมวิหารอย่างอ่อน)
  8. กายปัสสัทธิ: ความสงบของกองเจตสิก
  9. จิตตปัสสัทธิ: ความสงบของจิต
  10. กายลหุตา: ความเบาของกองเจตสิก
  11. จิตตลหุตา: ความเบาของจิต
  12. กายมุทุตา: ความอ่อนโยนของกองเจตสิก
  13. จิตตมุทุตา: ความอ่อนโยนของจิต
  14. กายกัมมัญญตา และ จิตตกัมมัญญตา (คู่): ความควรแก่การงานของเจตสิกและจิต
  15. กายปาคุญญตา และ จิตตปาคุญญตา (คู่): ความคล่องแคล่วของเจตสิกและจิต
  16. กายุชุกตา และ จิตตุชุกตา (คู่): ความซื่อตรงของเจตสิกและจิต

(ข) วิรตีเจตสิก ๓ ดวง (การงดเว้นจากทุจริต)

  1. สัมมาวาจา: การงดเว้นจากวจีทุจริต (ขณะนั้นไม่ได้พูดชั่ว)
  2. สัมมากัมมันตะ: การงดเว้นจากกายทุจริต (การให้ทานคืองดจากความตระหนี่ เป็นกายสุจริต)
  3. สัมมาอาชีวะ: การงดเว้นจากมิจฉาชีพ

(ค) อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวง (ความรู้สึกแผ่ไปไม่มีประมาณ)

  1. กรุณา: ความปารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ (อาจเป็นเหตุให้เริ่มให้ทาน)
  2. มุทิตา: ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นมีสุข (อาจเกิดเมื่อเห็นผู้รับมีความสุข)

(หมายเหตุ: กรุณากับมุทิตา มักไม่เกิดพร้อมกัน แต่สามารถเกิดกับจิตประเภทนี้ได้)

(ง) ปัญญินทรียเจตสิก ๑ ดวง (ปัญญา)

  1. ปัญญา (อโมหะ): ความรู้ความเข้าใจตามจริง (เข้าใจว่าการให้ทานเป็นสิ่งดี, เข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรม)

จะแยกองค์ประกอบทั้งหมดของจิตนี้ได้อย่างไร? (การวิเคราะห์ตามนัยพระอภิธรรม)

เมื่อได้ "ชุดนามธรรม ๓๙ อย่าง" นี้มาแล้ว ให้มนัสสิการองค์ธรรมทั้งหมดมาวิเคราะห์ด้วย "มาติกา" (แม่บท) ดังนี้:

ตัวอย่างที่ ๑: วิเคราะห์ด้วย "เวทนาติกะ" (หมวด ๓ ว่าด้วยเวทนา)
ปุจฉา: นามธรรม ๓๙ อย่างนี้ สัมพันธ์กับเวทนาแบบไหน?
วิสัชนา: สัมพันธ์กับความสุขใจ จึงจัดเข้าพวก สุขาย เวทนาย สัมปยุตตา ธมฺมา (ธรรมที่ประกอบด้วยสุขเวทนา)

ตัวอย่างที่ ๒: วิเคราะห์ด้วย "เหตุทุกะ" (หมวด ๒ ว่าด้วยเหตุ)
ปุจฉา: ใน ๓๙ อย่างนี้ อะไรเป็น "เหตุ" อะไร "ไม่ใช่เหตุ"?
วิสัชนา:

  • เหตุ ธมฺมา (ธรรมที่เป็นเหตุ): คือเจตสิกที่เป็นรากเหง้าของความดี ได้แก่ อโลภะ, อโทสะ, ปัญญา(อโมหะ)
  • นเหตุ ธมฺมา (ธรรมที่ไม่เป็นเหตุ): คือจิต ๑ ดวง และเจตสิกที่เหลืออีก ๓๕ ดวง

ตัวอย่างที่ ๓: วิเคราะห์ด้วย "สาสวทุกะ" (หมวด ๒ ว่าด้วยอาสวะ)
ปุจฉา: นามธรรม ๓๙ อย่างนี้ เป็นอารมณ์ของอาสวะกิเลสได้หรือไม่?
วิสัชนา: ได้ เพราะเป็นกุศลฝ่ายโลกิยะ (ยังไม่พ้นโลก) คนอื่นอาจเกิดความยึดมั่นถือมั่นในบุญนี้ได้ในภายหลัง ดังนั้นจึงจัดเป็น สาสวา ธมฺมา (ธรรมที่เป็นอารมณ์ของอาสวะ)

บทสรุป

การให้ทานอย่างมีปัญญา ๑ ครั้ง ไม่ใช่แค่การกระทำธรรมดาๆ แต่ในชั่วพริบตาเดียวนั้น คือการทำงานประสานกันอย่างน่าอัศจรรย์ของ นามธรรม ๓๙ ชนิด ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ทำหน้าที่ของตนเองอย่างสมบูรณ์ แล้วดับไปพร้อมกันทันที การที่เราสามารถ "แยก" หรือ "เห็น" ส่วนประกอบเหล่านี้ได้ตามความเป็นจริงด้วยกำลังของสติและปัญญาในขณะปฏิบัติ นั่นคือการ "เห็นนาม" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการทำลายความเห็นผิดว่ามี "ตัวเรา" หรือ "สัตว์ บุคคล" ที่เป็นผู้ให้ทาน แต่เห็นเป็นเพียงกระบวนการของจิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยเท่านั้นเอง