ทำไมโลกุตตรจิตจาก ๘ ดวง ถึงกลายเป็น ๔๐ ดวงได้ ?

ขอให้อุปมาเพื่อให้เห็นภาพง่ายๆ

อุปมาเหมือนการเดินทางขึ้นยอดเขา

  • ยอดเขา คือ พระนิพพาน
  • สถานีพักบนเขา ๔ แห่ง คือ อริยมรรค ๔ ขั้น (โสดาบัน, สกทาคามี, อนาคามี, อรหันต์)
  • ยานพาหนะ ที่ใช้ในการเดินทาง คือ กำลังของสมาธิ หรือ ฌานสมาบัติ
  • ยานพาหนะก็มีหลายประเภท เช่น เดินเท้า, จักรยาน, มอเตอร์ไซค์, รถยนต์, รถไฟความเร็วสูง ซึ่งแต่ละอย่างมีความเร็วและคุณภาพต่างกัน แต่ทั้งหมดสามารถพาเราไปถึงสถานีเดียวกันได้ ในทำนองเดียวกัน ผู้ปฏิบัติธรรมที่เจริญวิปัสสนาก็มี ๒ ประเภทหลักๆ คือ:

    สุกขวิปัสสก (หรือ สุทธวิปัสสนายานิก): คือผู้ที่เจริญวิปัสสนาปัญญาโดยตรง ไม่ได้ทำฌานสมาบัติให้เกิดก่อน เปรียบเหมือน "คนเดินเท้า" ก็สามารถบรรลุถึงยอดเขาได้เช่นกัน
    สมถยานิก: คือผู้ที่ฝึกสมถะจนได้ ฌานสมาบัติ ก่อน แล้วจึงใช้กำลังของฌานนั้นเป็นฐานในการเจริญวิปัสสนา เปรียบเหมือน "คนที่มีพาหนะ" เช่น รถยนต์ การขยายโลกุตตรจิตเป็น ๔๐ ดวงนั้น จะอธิบายเฉพาะในกลุ่มผู้ปฏิบัติแบบที่ ๒ คือ สมถยานิก

    กระบวนการการบรรลุ

    สมมติว่ามีโยคีท่านหนึ่งฝึกสมาธิจนชำนาญในปฐมฌาน (ฌานที่ ๑) ท่านต้องการจะบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน กระบวนการในจิตจะเป็นดังนี้:

    ขั้นตอนที่ ๑: เข้าฌานเพื่อใช้เป็น "ฐานกำลัง" (เรียกว่า บาทฌาน)

    โยคีจะทำสมาธิเข้า ปฐมฌาน ก่อน ในขณะนั้น จิตของท่านจะนิ่งและทรงพลังอย่างมหาศาล ประกอบด้วยองค์ประกอบ ๕ อย่างคือ วิตก, วิจาร, ปีติ, สุข, เอกัคคตา

    ขั้นตอนที่ ๒: ออกจากฌานแล้วเจริญวิปัสสนาทันที

    เมื่อออกจากฌาน จิตยังคงมีกำลังและใสบริสุทธิ์อยู่ ท่านจะไม่ปล่อยให้จิตมุ่งไปเรื่องอื่น แต่จะรีบยกเอาจิตและเจตสิกของ ปฐมฌาน ที่เพิ่งดับไปเมื่อกี้นี้แหละ มาเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ท่านจะพิจารณาว่า "วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ไม่เที่ยงเลย (อนิจจัง) เกิดแล้วก็ดับไป, เป็นทุกข์ (ทุกขัง) เพราะทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้, และไม่ใช่ตัวตนของเรา (อนัตตา) ที่จะบังคับบัญชาได้" ท่านจะพิจารณาไตรลักษณ์ของอารมณ์นี้ไปเรื่อยๆ จนถึงปัญญาขั้นสูงสุด คืออริยสัจ

    ขั้นตอนที่ ๓: การบรรลุมรรคจิต

    เมื่อปัญญาแก่กล้าจนถึงที่สุด จิตจะปล่อยวางจากการยึดมั่นทั้งหมด แล้ว โสตาปัตติมรรคจิต จะเกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะจิต โดยมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ หัวใจสำคัญอยู่ตรงนี้:
    เพราะจิตดวงนี้เกิดขึ้น "ทันที" หลังจากที่ใช้ปฐมฌานเป็นฐานกำลัง จิตจึงยังคงมี "ลักษณะ" ของปฐมฌานอยู่ มรรคจิตที่เกิดขึ้นจึงประกอบด้วยองค์ฌาน ๕ อย่างครบถ้วน เหมือนกับปฐมฌานที่ใช้เป็นฐานนั่นเอง เราจึงเรียกจิตดวงนี้ว่า "ปฐมฌานโสตาปัตติมรรคจิต"

    การขยายไปสู่ฌานอื่นๆ

    หลักการเดียวกันนี้สามารถใช้กับฌานอื่นๆ ได้ทั้งหมด:

  • ถ้าโยคีใช้ ทุติยฌาน (ฌานที่ ๒ ซึ่งมีองค์ฌาน ๔ คือ วิจาร, ปีติ, สุข, เอกัคคตา) เป็นฐาน มรรคจิตที่ได้ก็จะเป็น "ทุติยฌานโสตาปัตติมรรคจิต"
  • ถ้าโยคีใช้ ตติยฌาน (ฌานที่ ๓ ซึ่งมีองค์ฌาน ๓ คือ ปีติ, สุข, เอกัคคตา) เป็นฐาน มรรคจิตที่ได้ก็จะเป็น "ตติยฌานโสตาปัตติมรรคจิต"
  • ถ้าโยคีใช้ จตุตถฌาน (ฌานที่ ๔ ซึ่งมีองค์ฌาน ๒ คือ สุข, เอกัคคตา) เป็นฐาน มรรคจิตที่ได้ก็จะเป็น "จตุตถฌานโสตาปัตติมรรคจิต"
  • ถ้าโยคีใช้ ปัญจมฌาน (ฌานที่ ๕ ซึ่งมีองค์ฌาน ๒ คือ อุเบกขา, เอกัคคตา) เป็นฐาน มรรคจิตที่ได้ก็จะเป็น "ปัญจมฌานโสตาปัตติมรรคจิต"
  • ความแตกต่างระหว่าง "การคิดพิจารณา" กับ "การเห็นแจ้งด้วยปัญญา" อาจมีผู้สงสัยว่า ในฌานขั้นสูงถ้าไม่มีวิตก วิจาร แล้วจะเจริญวิปัสสนาให้ถึงโลกุตระได้อย่างไร? การเจริญวิปัสสนาในระดับนี้ ไม่ใช่การ "คิด" ด้วยสัญญาหรือความคิดแบบที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน แต่เป็นการใช้ "ปัญญา" หรือ "ญาณทัสสนะ" (การเห็นด้วยญาณ) ซึ่งมีความรวดเร็วและชัดเจนกว่ามาก ตัวอย่าง ในวิตก วิจาร ในปฐมฌาน ทำหน้าที่เหมือน "มือ" ที่คอยประคองจิตให้จับอยู่กับอารมณ์กรรมฐานในเบื้องต้น แต่เมื่อจิตมีกำลังมากขึ้นในฌานที่สูงขึ้น ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ "มือ" คู่นี้อีกต่อไป จิตสามารถตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์ได้เอง ปัญญาในระดับวิปัสสนาญาณ ที่มีสมาธิระดับสูงเป็นฐานนั้น มีความคมกล้าเหมือนมีดที่ลับให้คมมาอย่างดี สามารถฟาดฟันตัดกระแสกิเลส "เห็น" ความจริงของสภาวธรรมได้โดยตรง ไม่ต้องอาศัยการตรึกที่ว่า "นี่ไม่เที่ยง... นี่เป็นทุกข์..ฯ

    การขยายไปสู่มรรคผลอื่นๆ

    ไม่ว่าจะเป็นการบรรลุโสดาบัน, สกทาคามี, อนาคามี, หรืออรหันต์ ก็ล้วนใช้หลักการเดียวกันได้ทั้งหมด ดังนั้น เราจึงสามารถแตกตารางออกมาได้ดังนี้:

    บาทฌาน (ฐาน) โลกุตตรจิต ๘ ดวงที่เกิดขึ้น จำนวนรวม
    ปฐมฌาน มรรค ๔ + ผล ๔ (ที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ๕) ๘ ดวง
    ทุติยฌาน มรรค ๔ + ผล ๔ (ที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ๔) ๘ ดวง
    ตติยฌาน มรรค ๔ + ผล ๔ (ที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ๓) ๘ ดวง
    จตุตถฌาน มรรค ๔ + ผล ๔ (ที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ๒) ๘ ดวง
    ปัญจมฌาน มรรค ๔ + ผล ๔ (ที่ประกอบด้วยองค์ฌาน ๒) ๘ ดวง
    รวมทั้งหมด ๔๐ ดวง

    สรุป

    การขยายจาก ๘ เป็น ๔๐ ไม่ได้หมายความว่ามี "ระดับการบรรลุธรรม" เพิ่มขึ้น ระดับการบรรลุยังมี ๔ ขั้นเหมือนเดิม แต่เป็นการจำแนก "คุณภาพของจิตที่บรรลุธรรม" ตาม "คุณภาพของฌาน" ที่ใช้เป็นฐาน ผลลัพธ์ (การละสังโยชน์) เช่น ของโสตาปัตติมรรคจิต ไม่ว่าจะมาจากฌานไหน ก็ เท่ากัน คือละสังโยชน์เบื้อต่ำ ๓ แต่ สภาวะของจิต ที่เกิดขึ้นในขณะบรรลุนั้น มีความประณีตต่างกัน ไปตามกำลังของฌานที่เป็นฐานนั่นเอง