หลังจากที่ผู้ปฏิบัติได้ก้าวข้าม "วิปัสสนูปกิเลส" และประจักษ์แจ้งในทางที่ถูกและทางที่ผิดในขั้น มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ แล้ว บัดนี้การเดินทางได้เข้าสู่ "ทางหลวงหลัก" หรือทางสายเอกของการเจริญวิปัสสนาโดยตรง ความบริสุทธิ์ในขั้นที่ ๖ นี้คือ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ (Paṭipadāñāṇadassanavisuddhi) หรือ "ความบริสุทธิ์แห่งความรู้ความเห็นในทางปฏิบัติ"

นี่คือช่วงเวลาที่ปัญญาของผู้ปฏิบัติจะแก่กล้าขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นไปตามลำดับขั้นที่แน่นอน เปรียบเสมือนการปีนขึ้นบันไดที่ทอดตรงสู่ยอดเขาแห่งการตรัสรู้ บันไดแต่ละขั้นนั้นมีชื่อเรียกว่า "วิปัสสนาญาณ"


การเดินทางของปัญญาผ่านวิปัสสนาญาณ ๙ ขั้น

สัมมาทิฎฐิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิประกอบด้วยวิปัสสนาญาณ ๙ ขั้น (นับเป็นญาณที่ ๔ ถึง ๑๒ ในญาณ ๑๖) ซึ่งจะเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปตามลำดับ ดังนี้:
  1. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ (ญาณเห็นความเกิด-ดับ):

    ปัญญาที่เห็นการเกิดขึ้น (อุทย) และการดับไป (วย) ของรูปนามอย่างชัดเจนในทุกขณะจิต เห็นว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ และเมื่อสิ้นเหตุก็ดับไป ไม่มีอะไรคงที่เลยแม้แต่ชั่วลัดนิ้วมือ

  2. ภังคานุปัสสนาญาณ (ญาณเห็นแต่ความดับ):

    เมื่อปัญญาแก่กล้าขึ้น จิตจะละความสนใจในการเกิดขึ้น แต่จะจดจ่ออยู่กับการ "ดับไป" หรือ "แตกสลาย" (ภังคะ) ของสภาวธรรมทั้งปวงอย่างเดียว เห็นแต่ความสิ้นไป หมดไป แตกไป ของทุกสิ่งที่ปรากฏ

  3. ภยตูปัฏฐานญาณ (ญาณที่เห็นเป็นของน่ากลัว):

    เมื่อเห็นแต่ความแตกดับอยู่ตลอดเวลา ปัญญาจะเห็นว่าสังขารทั้งปวง (รูปนาม) เป็นของน่ากลัว (ภยะ) เหมือนคนที่ต้องอาศัยอยู่ในบ้านที่กำลังไฟไหม้ หรือเหมือนคนที่ต้องเดินทางร่วมกับเพชฌฆาต ไม่มีที่ใดปลอดภัยเลย

  4. อาทีนวานุปัสสนาญาณ (ญาณที่เห็นเป็นโทษ):

    ปัญญาจะเห็นโทษ (อาทีนพ) และความทุกข์ที่ซ่อนอยู่ในสังขารทั้งปวง เห็นว่าการต้องเกิด-ดับอยู่ตลอดเวลานั้นเป็นทุกข์โดยตัวของมันเอง ไม่ใช่สุขที่แท้จริง

  5. นิพพิทานุปัสสนาญาณ (ญาณที่เห็นด้วยความเบื่อหน่าย):

    เมื่อเห็นแต่โทษและความน่ากลัว จิตจะเกิดความเบื่อหน่าย (นิพพิทา) ในรูปนามและสังขารทั้งปวง ไม่ใช่ความเบื่อหน่ายแบบซึมเศร้า แต่เป็นความเบื่อหน่ายของปัญญาที่เห็นว่าไม่มีสาระแก่นสารใดๆ ให้ยึดถือเอาได้เลย

  6. มุจจิตุกัมยตาญาณ (ญาณที่ปรารถนาจะพ้นไป):

    จากความเบื่อหน่ายนั้นเอง จะเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะ "หลุดพ้น" (มุจจิตุ) ไปจากสังขารทั้งปวงนี้ เปรียบเหมือนปลาที่ติดอยู่ในแหที่ปรารถนาจะกลับคืนสู่สายน้ำ

  7. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ (ญาณแห่งการพิจารณาหาทาง):

    เมื่อปรารถนาจะพ้น จิตจะย้อนกลับมาพิจารณาสังขารทั้งหลายด้วยไตรลักษณ์อีกครั้งอย่างละเอียด เพื่อหาอุบายหรือหนทางที่จะหลุดพ้นออกไปให้ได้ เป็นการเตรียมความพร้อมครั้งสุดท้าย

  8. สังขารุเปกขาญาณ (ญาณแห่งการวางเฉยในสังขาร):

    นี่คือญาณที่แก่กล้าและประณีตที่สุดในขั้นนี้ เมื่อพิจารณาจนถึงที่สุดแล้ว จิตจะเกิด "อุเบกขา" คือความวางเฉยในสังขารทั้งปวง ไม่ยินดียินร้าย ไม่กลัว ไม่เบื่อหน่าย แต่เฝ้าดูการเกิดดับของรูปนามไปอย่างเป็นกลางด้วยปัญญาอันมั่นคง เปรียบเหมือนชายผู้หย่าขาดจากภรรยาแล้ว แม้เห็นนางอีกก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ จิตในขั้นนี้จะบริสุทธิ์และทรงพลังอย่างยิ่ง พร้อมที่จะก้าวสู่การตรัสรู้

  9. สัจจานุโลมิกญาณ (ญาณที่คล้อยตามอริยสัจ):

    เป็นญาณสุดท้ายที่เกิดขึ้นต่อจากสังขารุเปกขาญาณ เป็นปัญญาที่ประมวลผลทั้งหมดและโน้มเอียงไปสู่อริยสัจ ๔ เพื่อเตรียมรับการประจักษ์แจ้งพระนิพพานโดยตรง


บทสรุป

ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิคือหัวใจของกระบวนการวิปัสสนา เป็นการเดินทางของปัญญาที่เปลี่ยน "ความรู้" ให้กลายเป็น "ความรู้สึก" จากที่เคยรู้ว่าไม่เที่ยง ก็กลายเป็นเบื่อหน่ายในความไม่เที่ยง จากที่เคยรู้ว่าไม่มีตัวตน ก็วางเฉยในความไม่มีตัวตนได้ เมื่อการเดินทางของปัญญาในขั้นนี้สมบูรณ์แล้ว ก็เปรียบเสมือนนักวิ่งที่มาถึงเส้นชัย รอเพียงการก้าวข้ามเส้นนั้นไปเท่านั้น

ในหน้าถัดไป เราจะเดินทางสู่สถานีสุดท้าย ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของการปฏิบัติทั้งหมด นั่นคือ ญาณทัสสนวิสุทธิ: ปัญญาแห่งการบรรลุอริยมรรค