มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ (Maggāmagga-ñāṇadassana-visuddhi) คือ "ความบริสุทธิ์หมดจดแห่งปัญญาที่เห็นแจ้ง สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าสภาวะใดคือหนทางที่ถูกต้อง (มรรค) และสภาวะใดคือสิ่งที่มิใช่หนทาง(อมรรค) ในการเจริญวิปัสสนา"

ทัสสนวิสุทธิ: เกิดขึ้นเมื่อใด?

ญาณนี้จะปรากฏชัดเมื่อการปฏิบัติวิปัสสนาของผู้ปฏิบัติก้าวเข้าสู่ช่วงที่เรียกว่า ตรุณอุทยัพพยญาณ (taruṇa-udayabbaya-ñāṇa) หรือญาณอันอ่อนที่เริ่มเห็นการเกิด-ดับของรูปนาม สภาวะจิตในขณะนั้นจะมีความคมชัดและตั้งมั่นสูง ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์พิเศษอันน่าพึงพอใจ ๑๐ ประการ ซึ่งเป็นด่านทดสอบสำคัญที่เรียกว่า วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ (Vipassanūpakkilesa)


ญาณทัศนะ

อมรรค (Amagga): "สิ่งที่ไม่ใช่ทาง" หรือ วิปัสสนูปกิเลส ๑๐

"อมรรค" ในบริบทนี้ คือการที่ผู้ปฏิบัติหลงยึดติดในปรากฏการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง ๑๐ ประการ โดยเข้าใจผิดคิดว่าตนเองได้บรรลุอริยมรรคอริยผลแล้ว สภาวะทั้ง ๑๐ นี้ ได้แก่:

  1. โอภาส (Obhāsa): แสงสว่างจ้าที่ปรากฏขึ้นในสมาธิ บางครั้งสว่างไสวยิ่งกว่าแสงอาทิตย์
  2. ญาณ (Ñāṇa): ความรู้สึกว่าตนมีปัญญาเฉียบแหลมอย่างยิ่งยวด สามารถคิดอ่านทะลุปรุโปร่งในธรรมทั้งปวง
  3. ปีติ (Pīti): ความอิ่มใจซาบซ่านอย่างรุนแรง ซึ่งมีถึง ๕ ระดับ ตั้งแต่ขนลุกซู่ไปจนถึงรู้สึกตัวเบาตัวลอย
  4. ปัสสัทธิ (Passaddhi): ความสงบเยือกเย็นทั้งกายและใจอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน
  5. สุข (Sukha): ความสุขสบายกายสบายใจอย่างยิ่งยวด ปราศจากความบีบคั้นใดๆ
  6. อธิโมกข์ (Adhimokkha): ความเชื่อมั่นและศรัทธาในพระรัตนตรัยและการปฏิบัติที่แน่วแน่และรุนแรง
  7. ปัคคาหะ (Paggaha): ความเพียรที่ตั้งขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องฝืนพยายาม มีกำลังมหาศาล
  8. อุปัฏฐาน (Upaṭṭhāna): สติที่ระลึกรู้อารมณ์กรรมฐานได้อย่างต่อเนื่องและชัดเจนมากเป็นพิเศษ
  9. อุเบกขา (Upekkhā): ความวางเฉยต่ออารมณ์ที่เข้ามากระทบได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เอนเอียงไปในความยินดียินร้าย
  10. นิกกันติ (Nikanti): ความพอใจอย่างละเอียดสุขุมที่เกิดขึ้นต่อสภาวะธรรมอันน่าอัศจรรย์ทั้ง ๙ ประการข้างต้น ข้อสุดท้ายนี้เองคือตัวกิเลสที่แท้จริง

ข้อควรระวัง: สภาวะ ๙ อย่างแรกเป็นเครื่องหมายแห่งความก้าวหน้า แต่การเกิดนิกกันติ หรือความใคร่และความเพลิดเพลินในสภาวะเหล่านั้น คือตัวการที่ทำให้การเดินทางของปัญญาต้องหยุดชะงัก เพราะผู้ปฏิบัติจะละทิ้งอารมณ์กรรมฐานหลักของตนไปยึดเหนี่ยวอยู่กับปรากฏการณ์พิเศษเหล่านั้นแทน


มรรค (Magga): "หนทางที่ถูกต้อง"

"มรรค" หรือทางที่ถูกต้องในขั้นนี้ คือการใช้ปัญญากำหนดรู้สภาวะทั้ง ๑๐ ประการนั้นตามความเป็นจริง โดยพิจารณาว่า:

  • สภาวะอันน่าพึงพอใจเหล่านี้ ไม่เที่ยง (อนิจจัง) เกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา
  • สภาวะเหล่านี้เป็นทุกข์ (ทุกขัง) เพราะยังตกอยู่ภายใต้การเกิด-ดับ ถูกบีบคั้น
  • สภาวะเหล่านี้ไม่ใช่ตัวตนของเรา (อนัตตา) บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา

ผู้ปฏิบัติที่มีปัญญา (หรือมีกัลยาณมิตรคือครูบาอาจารย์คอยชี้แนะ) จะไม่หลงใหลไปกับอุปกิเลส แต่จะกำหนดรู้สภาวะเหล่านั้นแล้ววางลง จากนั้นจึงนำจิตกลับมาตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์กรรมฐานหลักของตนต่อไป เพื่อดูการเกิด-ดับของรูปนามต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ

การที่ปัญญาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า "การหลงเพลิดเพลินในอุปกิเลส คือ อมรรค" และ "การกำหนดรู้ตามความเป็นจริงแล้ววางเฉย กลับมาสู่กรรมฐานหลัก คือ มรรค" นี่คือแก่นแท้ของ "มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ"


ความสำคัญของญาณนี้

๑. เป็นจุดวัดสัมมาทิฏฐิ: เป็นบททดสอบสำคัญว่าผู้ปฏิบัติมีความเห็นถูกต้องหรือไม่ สามารถแยกแยะระหว่าง "กิเลสอย่างละเอียด" กับ "หนทางแห่งปัญญา" ได้หรือไม่

๒. เป็นประตูสู่ญาณชั้นสูง: เมื่อผ่านพ้นอุปกิเลสไปได้ วิปัสสนาญาณจะแก่กล้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด เรียกว่าเข้าสู่ช่วง พลววิปัสสนา (balava-vipassanā) ซึ่งจะดำเนินไปใน ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ (วิสุทธิลำดับที่ ๖) อันเป็นหนทางตรงสู่อริยมรรคต่อไป

๓. เป็นทางแยกสำคัญ: เปรียบเสมือนการเดินทางมาถึงทางแยกใหญ่ ทางหนึ่งคือทางอ้อมที่ประดับประดาด้วยดอกไม้งดงามชวนให้หลงใหล (อมรรค) แต่อีกทางหนึ่งคือทางตรงที่มุ่งสู่เป้าหมายที่แท้จริง (มรรค) ปัญญาในขั้นนี้คือเครื่องนำทางให้เลือกหนทางที่ถูกต้อง

โดยสรุป มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ คือช่วงเวลาที่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาต้องใช้ปัญญาอย่างยิ่งยวดเพื่อเอาชนะความพอใจในผลพลอยได้อันน่าอัศจรรย์ และมุ่งมั่นที่จะเห็นความจริงสูงสุดของรูปนามต่อไป การผ่านพ้นด่านนี้ไปได้จึงถือเป็นชัยชนะที่สำคัญบนเส้นทางแห่งการเจริญปัญญาเพื่อความพ้นทุกข์

ในหน้าถัดไป จะขึ้นสู่ฐานที่ ๖ คือ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ: ว่าด้วยลำดับของ "วิปัสสนาญาณ" ที่แก่กล้าขึ้นตามลำดับ จนพร้อมจะเข้าถึงมรรคผล