
ความหมายและแก่นแท้ของกังขาวิตรณวิสุทธิ
แก่นของกังขาวิตรณวิสุทธิคือการ ขจัดความสงสัย (วิจิกิจฉา) เช่น สงสัยใน อดีต อนาคต ปัจจุบัน รวมถึงสงสัยใน พระรัตนตรัย, กรรม-ผลของกรรม, และสำคัญที่สุดคือสงสัยใน การเกิดของรูปนาม ตามหลัก ปฏิจจสมุปบาทสูตร (SN 12.2) ซึ่งสอนว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
เมื่อผู้ปฏิบัติผ่าน ทิฏฐิวิสุทธิ (ความบริสุทธิ์แห่งความเห็น) เห็นแจ้งว่ามีเพียงรูป-นามไม่ใช่ตัวตน ก้าวถัดไปคือการพิจารณาเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดรูปนาม ปัญญาในขั้นนี้เรียกว่า ปัจจยปริคคหญาณ คือญาณที่เห็นความสัมพันธ์ของเหตุ-ผลในรูปนาม
การวิเคราะห์รูปนามเพื่อค้นหาเหตุ: กุญแจสู่การข้ามพ้นความสงสัย
ในการปฏิบัติเพื่อกังขาวิตรณวิสุทธิ ต้อง พิจารณาแยกแยะรูป-นามอย่างละเอียด และค้นหาเหตุปัจจัยที่ทำให้รูปนามนั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตามหลักใน มหาหัตถิปโทปมสูตร (MN 28) ที่สอนให้เห็นปัจจัยอันละเอียด
- รูป: พิจารณาธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้รูปเกิดและเปลี่ยนแปลง
- นาม: พิจารณาจิตและเจตสิก เช่น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเกิดเพราะเหตุใด
เมื่อปัญญาลงลึกถึงรากการเกิดดับของรูปนาม จะเข้าใจว่าทุกสิ่งมีเหตุ ไม่ใช่บังเอิญ ทำให้สงสัยใน อดีต อนาคต ปัจจุบัน หมดสิ้น และเข้าใจ กรรมและผลของกรรม อย่างชัดเจน
บทบาทในวิสุทธิมรรคและแนวทางการปฏิบัติ
ในลำดับ วิสุทธิ ๗ กังขาวิตรณวิสุทธิอยู่ถัดจากทิฏฐิวิสุทธิ และเป็นฐานสำคัญก่อนเข้าสู่ มรรคามรรคญาณทัสสนวิสุทธิ ซึ่งจะวินิจฉัยว่าอะไรคือทาง (มรรค) หรือไม่ใช่ทาง
การบรรลุกังขาวิตรณวิสุทธิไม่ใช่การท่องจำ แต่คือการ ประจักษ์แจ้งเหตุปัจจัย ในรูปนามจริงๆ ด้วยปัญญาจากการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
สรุป: ข้ามพ้นความสงสัยด้วยปัญญาที่เห็นแจ้งปัจจัย
กังขาวิตรณวิสุทธิคือความบริสุทธิ์ที่ข้ามพ้นความสงสัย โดยการ เห็นแจ้งเหตุปัจจัยของรูปนาม ตามหลัก ปฏิจจสมุปบาท เมื่อความสงสัยสิ้นไป จิตมั่นคงในสัมมาทิฏฐิ พร้อมก้าวต่อสู่ญาณที่ละเอียดกว่า
ในหน้าถัดไป เมื่อความสงสัยสิ้นสุด เราจะก้าวสู่สถานีที่ห้า คือ มรรคามรรคญาณทัสสนวิสุทธิ: ญาณที่รู้ว่าอะไรคือทางหรือไม่ใช่ทาง