หลังจากที่ได้เตรียมจิตให้มีกำลังและตั้งมั่นด้วย ฌานสมาบัติ แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำจิตที่ทรงพลังและเฉียบคมนั้นมาใช้เป็นเครื่องมือในการสืบสวนความจริงของชีวิต การสืบสวนนี้เรียกว่า "วิปัสสนา" และ "สิ่งที่ถูกสืบสวน" นั้นเรียกว่า วิปัสสนาภูมิ (Vipassanā-bhūmi) หรือ "พื้นเพแห่งการเจริญปัญญา"
หากสมาธิเปรียบเสมือนกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูงสุด วิปัสสนาภูมิก็คือ "สไลด์ตัวอย่าง" ที่เรานำมาวางใต้เลนส์เพื่อส่องดูโครงสร้างที่แท้จริงของมันนั่นเอง
เป้าหมายของการพิจารณา: การเห็นไตรลักษณ์
ไม่ว่าผู้ปฏิบัติจะเลือกพิจารณา "ภูมิ" หรือ "อารมณ์" ใดก็ตาม เป้าหมายสูงสุดของการเจริญวิปัสสนามีเพียงหนึ่งเดียว คือการใช้ปัญญาเห็นแจ้งในสภาวธรรมเหล่านั้นตามลักษณะสามัญสากล ๓ ประการ ที่เรียกว่า ไตรลักษณ์ (Tilakkhaṇa) ได้แก่:
- อนิจจัง: ความไม่เที่ยงแท้, การเกิดขึ้นและดับไปอยู่ตลอดเวลา
- ทุกขัง: สภาพที่ทนอยู่ได้ยาก, ถูกบีบคั้นให้เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
- อนัตตา: ความไม่ใช่ตัวตน, ไม่สามารถบังคับบัญชาได้จริง, เป็นไปตามเหตุปัจจัย
ภูมิแห่งวิปัสสนา: กรอบการวิเคราะห์ความจริง

ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคและพระอภิธรรมโดยรวม ได้จัดหมวดหมู่ของสภาวธรรมทั้งปวง (สังขารธรรม) ซึ่งเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาไว้หลายกรอบ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเลือกใช้พิจารณาตามความถนัดของปัญญา กรอบการวิเคราะห์ที่สำคัญ ได้แก่:
๑. ขันธ์ ๕ (The 5 Aggregates)
เป็นการวิเคราะห์ "ตัวตน" ที่เรายึดถืออยู่นี้ ให้เห็นว่าประกอบขึ้นจากกอง ๕ กองที่ทำงานร่วมกันเท่านั้น คือ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, และวิญญาณ
๒. อายตนะ ๑๒ (The 12 Sense-Bases)
เป็นการวิเคราะห์ "โลก" และ "ประสบการณ์" ทั้งหมด ว่าเกิดขึ้นจากการกระทบกันของอายตนะภายใน (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ) และอายตนะภายนอก (รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส, ธรรมารมณ์)
๓. ธาตุ ๑๘ (The 18 Elements)
เป็นการวิเคราะห์กระบวนการรับรู้ที่ละเอียดขึ้น โดยเพิ่มวิญญาณธาตุ ๖ (การรับรู้ทางทวารทั้ง ๖) เข้าไปในอายตนะ ๑๒ ทำให้เห็นองค์ประกอบของทุกขณะจิตที่เกิดขึ้น
๔. อินทรีย์ ๒๒ (The 22 Faculties)
เป็นการวิเคราะห์สภาวะต่างๆ ในฐานะที่เป็น "ใหญ่" หรือเป็น "เจ้าการ" ในหน้าที่ของตน เช่น จักขุนทรีย์ (ความเป็นใหญ่ในการเห็น), สัทธินทรีย์ (ความเป็นใหญ่ในการเชื่อ), ชีวิตินทรีย์ (ความเป็นใหญ่ในการรักษาสภาพธรรมให้ดำรงอยู่)
๕. อริยสัจ ๔ (The 4 Noble Truths)
เป็นการพิจารณาสภาวธรรมทั้งปวงด้วยมุมมองของความจริงอันประเสริฐ คือพิจารณาว่าอะไรคือทุกข์, อะไรคือเหตุแห่งทุกข์, อะไรคือความดับทุกข์, และอะไรคือหนทางปฏิบัติ
๖. ปฏิจจสมุปบาท (Dependent Origination)
เป็นการพิจารณา "สายโซ่แห่งเหตุปัจจัย" ๑๒ ประการ ที่ร้อยรัดให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด เป็นการพิจารณาอารมณ์ของวิปัสสนาในเชิงเหตุและผลที่ลึกซึ้งที่สุด
บทสรุป
แม้จะมีกรอบการพิจารณาที่หลากหลาย แต่ท้ายที่สุดแล้ว วิปัสสนาภูมิทั้งหมดนี้ก็คือสภาวะ "รูปธรรม" และ "นามธรรม" ที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิตของเรานั่นเอง การเลือกใช้กรอบใดกรอบหนึ่งเป็นเพียงการเลือก "แว่นตา" ที่มีสีต่างกันเพื่อส่องดูความจริงสิ่งเดียวกัน ผู้ปฏิบัติที่มีปัญญาแก่กล้าจะสามารถเห็นได้ว่า ขันธ์ ๕ ก็คืออายตนะ ๑๒, อายตนะ ๑๒ ก็คือธาตุ ๑๘ ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงบัญญัติเพื่อใช้เรียกสภาวธรรมเดียวกันที่มีลักษณะเป็นไตรลักษณ์
ในหน้าถัดไป เมื่อเราเข้าใจ "สนาม" ของการปฏิบัติแล้ว เราจะมาเจาะลึกถึง "ลำดับขั้นของปัญญา" ที่เกิดขึ้นจากการเฝ้าดูในสนามนี้ ในหัวข้อ วิปัสสนาญาณ ๑๖: แผนที่การเดินทางของปัญญา