ในภาคสมาธินิเทศของคัมภีร์วิสุทธิมรรค ซึ่งว่าด้วย จิตตวิสุทธิ นั้น พระพุทธโฆสาจารย์ได้รวบรวมและจัดระเบียบวิธีการปฏิบัติเพื่อสร้างสมาธิไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด โดยประมวลอารมณ์ของกรรมฐานไว้ทั้งหมด ๔๐ วิธี หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "กรรมฐาน ๔๐"

กรรมฐานเหล่านี้เปรียบเสมือน "เครื่องมือ" หรือ "อุปกรณ์" ที่หลากหลาย ซึ่งผู้ปฏิบัติสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับอุปนิสัย (จริต) ของตนเอง เพื่อใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ และก้าวข้ามอุปสรรคคือนิวรณ์ ๕ ประการ จนบรรลุถึงความสงบตั้งมั่นในระดับฌานสมาบัติได้


จำแนกกรรมฐาน ๔๐ ตามหมวดหมู่

กรรมฐานทั้ง ๔๐ กองนั้น สามารถแบ่งออกได้เป็น ๗ หมวดหมู่หลัก ดังนี้

๑. กสิณ ๑๐

(กสิณแปลว่า "ทั้งหมด" หรือ "เต็มเปี่ยม") เป็นการใช้อุปกรณ์ภายนอกมาเพ่งจนเกิดเป็นภาพติดตา (อุคคหนิมิต) และพัฒนาเป็นภาพที่บริสุทธิ์ในใจ (ปฏิภาคนิมิต) เพื่อให้จิตแน่วแน่อยู่กับอารมณ์เดียว เป็นกรรมฐานที่ทรงพลัง สามารถนำไปสู่ฌานสมาบัติได้ครบทั้ง ๔ ฌาน เหมาะกับทุกจริต

  • กสิณธาตุ ๔ ได้แก่ ปฐวีกสิณ (ดิน), อาโปกสิณ (น้ำ), เตโชกสิณ (ไฟ), วาโยกสิณ (ลม)
  • กสิณวรรณะ (สี) ๔ ได้แก่ นีลกสิณ (สีเขียว/น้ำเงิน), ปีตกสิณ (สีเหลือง), โลหิตกสิณ (สีแดง), โอทาตกสิณ (สีขาว)
  • กสิณอื่นๆ ๒ ได้แก่ อาโลกกสิณ (แสงสว่าง), อากาสกสิณ (ช่องว่าง)

๒. อสุภะ ๑๐

คำอธิบาย (อสุภะแปลว่า "ความไม่งาม") คือการพิจารณาซากศพในสภาพต่างๆ ๑๐ ชนิด เพื่อให้เห็นความจริงของร่างกายว่าเป็นของไม่งาม ไม่น่าปรารถนา เป็นกรรมฐานที่ทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการกำจัดราคะหรือความกำหนัดในกามคุณ เหมาะสำหรับ **ราคจริต** สามารถนำไปสู่ปฐมฌานได้

๓. อนุสสติ ๑๐

(อนุสสติแปลว่า "การระลึกถึงเนืองๆ") คือการใช้คุณธรรมหรือสภาวธรรมอันประเสริฐมาเป็นอารมณ์ เพื่อให้จิตเกิดความปลาบปลื้ม ศรัทธา และสงบระงับ

  • อนุสสติ ๖ อย่างแรก (พุทธานุสสติ, ธัมมานุสสติ, สังฆานุสสติ, สีลานุสสติ, จาคานุสสติ, เทวตานุสสติ) เหมาะสำหรับ **สัทธาจริต**
  • กายคตาสติ (ระลึกถึงอาการ ๓๒) และ มรณัสสติ (ระลึกถึงความตาย) เหมาะสำหรับ **วิตกจริต**
  • อานาปานสติ (สติกำหนดลมหายใจ) เหมาะสำหรับทุกจริต โดยเฉพาะโมหจริตและวิตกจริต สามารถนำไปสู่ฌาน ๔ ได้
  • อุปสมานุสสติ (ระลึกถึงคุณพระนิพพาน) เป็นอารมณ์ของผู้มีปัญญา

๔. อัปปมัญญา ๔ (พรหมวิหาร ๔)

(อัปปมัญญาแปลว่า "ธรรมที่แผ่ไปโดยไม่มีประมาณ") คือการเจริญคุณธรรม ๔ ประการให้แผ่ไปในสรรพสัตว์อย่างไม่มีขอบเขต เหมาะสำหรับ **โทสจริต** (ผู้มีความโกรธเป็นเจ้าเรือน)

  • เมตตา (ความรักใคร่ปรารถนาดี)
  • กรุณา (ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์)
  • มุทิตา (ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี)
  • อุเบกขา (ความวางใจเป็นกลาง)

๕. อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑

คือการพิจารณาความปฏิกูลของอาหาร ตั้งแต่การแสวงหา การเคี้ยว ไปจนถึงการย่อยสลาย เพื่อคลายความอยากและความมัวเมาในรสชาติ

๖. จตุธาตุววัฏฐาน ๑

คือการพิจารณาร่างกายนี้โดยความเป็นเพียงธาตุ ๔ คือ ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม ที่ประชุมกันอยู่ชั่วคราว ไม่ใช่ตัวตนของเรา เป็นกรรมฐานที่เป็นประตูสำคัญไปสู่การเจริญวิปัสสนา เหมาะสำหรับ **พุทธิจริต** (ผู้มีปัญญา)

๗. อรูปฌาน ๔

คืออารมณ์ของอรูปฌาน ซึ่งเป็นสมาธิขั้นสูงที่ก้าวข้ามรูปธรรมไปโดยสิ้นเชิง ต้องอาศัยผู้ที่ได้ฌาน ๔ จากกสิณ ๙ (ยกเว้นอากาสกสิณ) มาก่อนจึงจะปฏิบัติได้


บทสรุป

กรรมฐาน ๔๐ นี้แสดงให้เห็นถึงความลุ่มลึกและเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตของพระพุทธศาสนา ที่มี "เครื่องมือ" ที่หลากหลายไว้สำหรับ "ซ่อมแซม" หรือ "พัฒนา" จิตใจที่มีลักษณะแตกต่างกันไป การเลือกกรรมฐานที่เหมาะสมกับตนและปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ย่อมเป็นหนทางโดยตรงที่จะนำไปสู่ความสงบตั้งมั่นแห่งจิต หรือ จิตตวิสุทธิ อันเป็นฐานที่มั่นคงสำหรับการเจริญปัญญาในลำดับต่อไป

ในหน้าถัดไป เราจะเจาะลึกถึงสภาวะของจิตที่บรรลุความสงบขั้นสูงสุด นั่นคือ ฌานสมาบัติ: สภาวะแห่งจิตอันประณีต