เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในพรรษาที่ ๗ หลังจากที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ พระองค์ทรงมีพุทธประสงค์จะทดแทนคุณของพระพุทธมารดา คือ พระนางสิริมหามายา ผู้ซึ่งหลังจากสิ้นพระชนม์ได้ไปบังเกิดเป็นเทพบุตรบนสวรรค์ชั้นดุสิตนามว่า "สันดุสิตเทพบุตร" และต่อมาได้จุติมาบังเกิดที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ การแสดงธรรมที่ลึกซึ้งอย่างพระอภิธรรมจึงเป็นการตอบแทนพระคุณอันสูงสุด

กระบวนการถ่ายทอดพระอภิธรรมจากเทวโลกสู่โลกมนุษย์สามารถแบ่งเป็นลำดับขั้นตอนได้ดังนี้

๑. การเสด็จสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์และการแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา

  • ในพรรษาที่ ๗ พระพุทธองค์ได้เสด็จขึ้นไปยัง สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และประทับจำพรรษา ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เพื่อทรงแสดงพระอภิธรรมโปรดสันดุสิตเทพบุตร (อดีตพระนางสิริมหามายา) เป็นหลัก พร้อมด้วยหมู่เทพยดาและพรหมทั้งหลายที่มาชุมนุมกัน
  • การแสดงธรรมในเทวโลกนี้ดำเนินไปตลอด ๓ เดือนเต็มในระหว่างเข้าพรรษา พระพุทธองค์ทรงแสดงพระอภิธรรมปิฎกทั้ง ๗ คัมภีร์อย่างพิสดาร ซึ่งเหมาะสมกับสติปัญญาและภาวะของเหล่าทวยเทพผู้มีอายุยืนยาวและมีจิตที่ละเอียดอ่อน
  • เมื่อจบพระธรรมเทศนา สันดุสิตเทพบุตรได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พร้อมกับเทพยดาและพรหมอีกจำนวนมากที่ได้บรรลุธรรมในระดับต่างๆ
การเสด็จสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

๒. การถ่ายทอดสู่โลกมนุษย์ผ่านพระสารีบุตร

แม้พระวรกายของพระพุทธเจ้าจะอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่พระองค์ยังทรงปฏิบัติพุทธกิจในโลกมนุษย์มิได้ขาด โดยทรงใช้อิทธิฤทธิ์ ดังนี้

  • การลงมาบิณฑบาต: ทุกๆ วัน พระพุทธองค์จะทรงเนรมิต "พระพุทธนิมิต" ขึ้นมาเพื่อแสดงธรรมแก่เหล่าเทวดาอย่างต่อเนื่อง ส่วนพระองค์จริงจะเสด็จลงมายังโลกมนุษย์เพื่อบิณฑบาต ณ อุตรกุรุทวีป และเสวยภัตตาหาร ณ ป่าหิมพานต์
  • การพบกับพระสารีบุตร: หลังจากเสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว พระสารีบุตรเถระ อัครสาวกผู้เลิศทางปัญญา จะเดินทางมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ทุกวัน
  • การประทาน "มาติกา" (หัวข้อแม่บท): ณ ที่นั้นเอง พระพุทธองค์จะทรงเล่าถึงเนื้อหาพระอภิธรรมที่พระองค์ได้แสดงแก่เหล่าเทวดาไปในวันนั้นๆ แก่พระสารีบุตร แต่เป็นการสรุปย่อในลักษณะของ มาติกา หรือ หัวข้อแม่บท ไม่ได้แสดงอย่างพิสดารเหมือนในเทวโลก เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาและสติปัญญาของมนุษย์
    • อรรถกถาเปรียบเทียบว่า: วิธีที่ทรงแสดงแก่เทวดานั้นเป็นแบบ "ไม่ย่อไม่พิสดาร" (คือพอดีกับเหล่าเทวดา) แต่วิธีที่ทรงมอบให้พระสารีบุตรนั้นเป็นแบบ "นัยที่ทรงตั้งไว้" (อุเทส) คือการให้แต่หัวข้อ เพื่อให้พระสารีบุตรนำไปขยายความต่อ

๓. บทบาทของพระสารีบุตรในการขยายความและวางรากฐาน

  • ด้วยความเป็นผู้เลิศทางปัญญา พระสารีบุตรเมื่อได้รับมาติกาหรือหัวข้อแม่บทจากพระพุทธองค์แล้ว ก็สามารถใช้ปัญญาอันแตกฉานของท่านขยายความเนื้อหาเหล่านั้นได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ ตรงตามพุทธประสงค์ทุกประการ
  • จากนั้น พระสารีบุตรได้นำพระอภิธรรมที่ท่านขยายความแล้ว ไปสอนแก่ศิษย์ของท่านอีก ๕๐๐ รูป ทำให้พระอภิธรรมได้หยั่งรากลงในโลกมนุษย์เป็นครั้งแรก
  • ด้วยเหตุนี้ พระสารีบุตรจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการวางรากฐานพระอภิธรรมในโลกมนุษย์ จนอาจกล่าวได้ว่า พระอภิธรรมปิฎกที่เรารู้จักกันในปัจจุบันนี้ คือฉบับที่ผ่านการขยายความและจัดลำดับโดยพระปัญญาคุณของพระสารีบุตรนั่นเอง

๔. การสืบทอดโดยคณะสงฆ์

ศิษย์ทั้ง ๕๐๐ รูปของพระสารีบุตร ได้ทรงจำคำสอนของพระสารีบุตรไว้ และถ่ายทอดสืบต่อกันมาแบบมุขปาฐะ (ปากต่อปาก) จากรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งมีการจารึกลงเป็นลายลักษณ์อักษรในการสังคายนาครั้งต่อๆ มา

สาระสำคัญและนัยยะของเรื่องราวนี้

  • ยืนยันที่มาอันศักดิ์สิทธิ์: เรื่องราวนี้เป็นการยืนยันว่า พระอภิธรรมไม่ใช่คำสอนที่แต่งขึ้นใหม่ แต่เป็นคำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าโดยตรง (พุทธวจนะ)
  • รับรองความถูกต้อง: การถ่ายทอดผ่านพระสารีบุตรผู้เป็นเลิศทางปัญญา เป็นการรับรองว่าเนื้อหาของพระอภิธรรมที่สืบทอดมาในโลกมนุษย์นั้นถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้
  • แสดงถึงความอัศจรรย์แห่งพระธรรม: พระธรรมของพระพุทธเจ้าสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้เหมาะสมกับอัธยาศัยและสติปัญญาของผู้ฟังที่แตกต่างกันได้ (เทวดาและมนุษย์)
  • เชิดชูพระคุณของพระสารีบุตร: เป็นการประกาศเกียรติคุณของพระสารีบุตรในฐานะ "ธรรมเสนาบดี" ผู้มีบทบาทสำคัญในการธำรงรักษาพระธรรมวินัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสอนอันลึกซึ้งอย่างพระอภิธรรม