อุปาทายรูป ๒๔
อุปาทายรูป ๒๔
คือ รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ (ดิน, น้ำ, ไฟ, ลม) เกิดขึ้น เป็นผลสืบเนื่องมาจากมหาภูตรูป ไม่สามารถเกิดขึ้นโดยลำพังได้ เปรียบเสมือนเงาที่ต้องอาศัยวัตถุจึงจะปรากฏได้ อุปาทายรูปเหล่านี้มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนกว่ามหาภูตรูป สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ได้ดังนี้
๑. ปสาทรูป ๕ (รูปที่เป็นประสาทสำหรับรับอารมณ์) เป็นรูปที่มีความใส สามารถรับกระทบอารมณ์ต่าง ๆ ได้ ตั้งอยู่เฉพาะแห่งภายในร่างกาย ได้แก่
จักขุปสาท (ประสาทตา): ตั้งอยู่ที่กลางตาดำ มีลักษณะใสดุจน้ำมันงาที่บริสุทธิ์ ทำหน้าที่รับรูปารมณ์ (สี)
โสตปสาท (ประสาทหู): ตั้งอยู่ในช่องหู มีลักษณะเป็นวงคล้ายวงแหวนขนแกะ ทำหน้าที่รับสัททารมณ์ (เสียง)
ฆานปสาท (ประสาทจมูก): ตั้งอยู่ในช่องจมูก มีลักษณะคล้ายกีบแพะ ทำหน้าที่รับคันธารมณ์ (กลิ่น)
ชิวหาปสาท (ประสาทลิ้น): ตั้งอยู่ท่ามกลางลิ้น มีลักษณะคล้ายปลายกลีบดอกบัว ทำหน้าที่รับรสารมณ์ (รส)
กายปสาท (ประสาทกาย): ตั้งอยู่ทั่วร่างกาย (ยกเว้นที่ปลายผม ปลายเล็บ และหนังที่ด้านหนา) มีลักษณะเหมือนสำลีชุบน้ำมันซึมซาบไปทั่ว ทำหน้าที่รับโผฏฐัพพารมณ์ (สัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง)
๒. โคจรรูป หรือ วิสยรูป ๔ (รูปที่เป็นอารมณ์หรือแดนรับรู้ของปสาทรูป)
เป็นอารมณ์ที่เข้ามากระทบกับปสาทรูปโดยตรง (ในคัมภีร์อัฏฐสาลินีจะนับเพียง ๔ รูป โดยไม่นับโผฏฐัพพารมณ์ เพราะถือว่าสงเคราะห์เข้าในมหาภูตรูป ๓ คือ ปฐวี เตโช วาโย)
รูปารมณ์ (สีต่าง ๆ): เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา
สัททารมณ์ (เสียงต่าง ๆ): เป็นสิ่งที่ปรากฏทางหู
คันธารมณ์ (กลิ่นต่าง ๆ): เป็นสิ่งที่ปรากฏทางจมูก
รสารมณ์ (รสต่าง ๆ): เป็นสิ่งที่ปรากฏทางลิ้น
๓. ภาวรูป ๒(รูปที่เป็นที่เกิดแห่งภาวะแห่งเพศ)
เป็นรูปที่แสดงความเป็นหญิงหรือชาย
อิตถีภาวรูป (รูปหญิง): เป็นรูปที่แสดงลักษณะความเป็นหญิง ทำให้มีกิริยาท่าทาง อัธยาศัยเป็นหญิง
ปุริสภาวรูป (รูปชาย): เป็นรูปที่แสดงลักษณะความเป็นชาย ทำให้มีกิริยาท่าทาง อัธยาศัยเป็นชาย
๔. หทยรูป ๑(รูปคือหทัย)
หทยวัตถุ (ที่ตั้งแห่งใจ): เป็นรูปที่อาศัยอยู่ในช่องหัวใจ มีขนาดเท่าเมล็ดบุนนาค เป็นที่อาศัยเกิดของมโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุ (จิต)

๕. ชีวิตรูป ๑(รูปคือชีวิต)
ชีวิตินทรีย์ (รูปที่รักษากลุ่มรูปที่เกิดจากกรรม): เป็นรูปที่ทำหน้าที่รักษารูปธรรมอื่น ๆ ที่เกิดจากกรรมให้คงอยู่ ไม่เน่าเปื่อย เปรียบเหมือนน้ำที่หล่อเลี้ยงดอกบัวให้สดชื่น
๖. อาหารรูป ๑(รูปคืออาหาร)
อาหารรูป หรือ โอชา (รูปที่หล่อเลี้ยงร่างกาย): คือสารอาหารในคำข้าวที่กลืนกินเข้าไป ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงและค้ำจุนร่างกายให้เจริญเติบโต
๗. ปริจเฉทรูป ๑(รูปที่กำหนดขอบเขต)
อากาสธาตุ (ช่องว่าง): คือช่องว่างที่คั่นระหว่างกลาปรูป (กลุ่มของรูป) ทำให้รูปแต่ละกลุ่มแยกออกจากกันได้ ไม่ปนเปกัน
๘. วิญญัติรูป ๒(รูปที่แสดงความหมายให้ผู้อื่นรู้) เป็นรูปที่เกิดจากจิต เป็นเหตุให้เคลื่อนไหวร่างกายเพื่อสื่อความหมาย
กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหวทางกาย): การแสดงออกทางกาย เช่น การพยักหน้า การส่ายหน้า การยืน การเดิน เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมาย
วจีวิญญัติ (การพูดเป็นถ้อยคำ): การเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดที่มีความหมาย ซึ่งเกิดจากการขยับของอวัยวะในช่องปากที่เกิดจากจิต
๙. วิการรูป ๕(รูปที่แสดงความเปลี่ยนแปลง) เป็นลักษณะอาการของรูปที่เปลี่ยนแปลงไป
ลหุตา (ความเบา): ภาวะที่รูปปราศจากความหนัก ทำให้เคลื่อนไหวได้คล่องแคล่ว
มุทุตา (ความอ่อน): ภาวะที่รูปปราศจากความกระด้าง ทำให้อ่อนนุ่ม ควรแก่การงาน
กัมมัญญตา (ความควรแก่การงาน): ภาวะที่รูปมีความสละสลวย เหมาะแก่การใช้งานต่าง ๆ
อุปจยะ (ความเจริญเติบโต): การก่อตัวขึ้นครั้งแรกของรูปธรรมในครรภ์มารดา
สันตติ (ความสืบต่อ): การเกิดดับสืบเนื่องกันไปของรูปธรรมอย่างไม่ขาดสาย
๑๐. ลักขณรูป ๔(รูปที่แสดงลักษณะความเป็นไป)
เป็นลักษณะที่แสดงอาการของรูปธรรมโดยสามัญทั่วไป
ชรตา (ความแก่): ความเสื่อมหรือความทรุดโทรมของรูป
อนิจจตา (ความดับ): การสลายไปหรือความแตกทำลายของรูป
ชรา (ความเสื่อม)
อนิจจัง (ความดับไป) ในหมวดนี้ คัมภีร์อัฏฐสาลินีได้อธิบายถึงลักษณะอาการที่เป็นสามัญของสังขตธรรมทั้งหมด
โดยสรุป อุปาทายรูป ๒๔ ตามคัมภีร์อัฏฐสาลินี เป็นการจำแนกรูปธรรมที่ละเอียดอ่อนซึ่งอาศัยมหาภูตรูปเป็นแดนเกิด แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของร่างกายและกระบวนการทางกายภาพทั้งหมดของสิ่งมีชีวิต ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์ ๕ ที่ตกอยู่ในกฎแห่งไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา