ติกมาติกา ๒๒ ติกะ
- ๑. กุสลติกะ ได้แก่ ธรรมที่เป็นกุศล (ความดี), ธรรมที่เป็นอกุศล (ความชั่ว), และธรรมที่เป็นอัพยากฤต (เป็นกลางๆ ไม่ใช่ทั้งกุศลและอกุศล)
- ๒. เวทนาติกะ ได้แก่ ธรรมที่เกิดพร้อมกับสุขเวทนา (ความสุข), ทุกขเวทนา (ความทุกข์), และอทุกขมสุขเวทนา (ความรู้สึกเฉยๆ)
- ๓. วิปากติกะ ได้แก่ ธรรมที่เป็นวิบาก (ผลของกรรม), ธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก (ตัวกรรม), และธรรมที่ไม่ใช่วิบากและไม่เป็นเหตุให้เกิดวิบาก
- ๔. อุปาทินนุปาทานิยติกะ ได้แก่ ธรรมที่เป็นผลของกรรมและเป็นอารมณ์ของกิเลส, ธรรมที่ไม่เป็นผลของกรรมแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส, และธรรมที่ไม่เป็นทั้งผลของกรรมและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส
- ๕. สังกิลิฏฐสังกิเลสิกติกะ ได้แก่ ธรรมที่เศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของกิเลส, ธรรมที่ไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของกิเลส, และธรรมที่ไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส
- ๖. วิตักกติกะ ได้แก่ ธรรมที่มีทั้งวิตก (การตรึก) และวิจาร (การตรอง), ธรรมที่ไม่มีวิตกแต่มีเพียงวิจาร, และธรรมที่ไม่มีทั้งวิตกและวิจาร
- ๗. ปีติติกะ ได้แก่ ธรรมที่เกิดพร้อมกับปีติ, ธรรมที่เกิดพร้อมกับสุขเวทนา, และธรรมที่เกิดพร้อมกับอุเบกขาเวทนา
- ๘. ทัสสนติกะ ได้แก่ ธรรมที่ต้องละด้วยโสดาปัตติมรรค (การเห็นครั้งแรก), ธรรมที่ต้องละด้วยมรรคเบื้องสูง ๓ (การอบรม), และธรรมที่ไม่ต้องละด้วยมรรคทั้งสอง
- ๙. ทัสสนเหตุกติกะ ได้แก่ ธรรมที่มีเหตุอันต้องละด้วยโสดาปัตติมรรค, ธรรมที่มีเหตุอันต้องละด้วยมรรคเบื้องสูง ๓, และธรรมที่ไม่มีเหตุที่ต้องละด้วยมรรคทั้งสอง
- ๑๐. อาจยคามิติกะ ได้แก่ ธรรมที่นำไปสู่การสั่งสมกิเลส (อยู่ในสังสารวัฏ), ธรรมที่นำไปสู่การไม่สั่งสมกิเลส (มุ่งสู่นิพพาน), และธรรมที่ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
- ๑๑. เสกขติกะ ได้แก่ ธรรมที่เป็นของพระเสขะ (ผู้ยังต้องศึกษาธรรมอยู่), ธรรมที่เป็นของพระอเสขะ (ผู้ศึกษาจบแล้วคือพระอรหันต์), และธรรมที่ไม่ใช่ของทั้งสอง
- ๑๒. ปริตตติกะ ได้แก่ ธรรมที่เป็นปริตตะ (ระดับกามาวจร คือภพภูมิของมนุษย์และเทวดา), ธรรมที่เป็นมหัคคตะ (ระดับรูปาวจรและอรูปาวจร คือภพของพรหม), และธรรมที่เป็นอัปปมาณะ (ระดับโลกุตตระ คือนิพพาน)
- ๑๓. ปริตตารัมมณติกะ ได้แก่ ธรรมที่มีอารมณ์ (สิ่งที่จิตไปรู้) เป็นปริตตะ, ธรรมที่มีอารมณ์เป็นมหัคคตะ, และธรรมที่มีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ
- ๑๔. หีนติกะ ได้แก่ ธรรมที่มีสภาวะทราม, ธรรมที่มีสภาวะปานกลาง, และธรรมที่มีสภาวะประณีต
- ๑๕. มิจฉัตตติกะ ได้แก่ ธรรมที่เป็นฝ่ายผิดและให้ผลแน่นอน, ธรรมที่เป็นฝ่ายถูกและให้ผลแน่นอน, และธรรมที่ให้ผลไม่แน่นอน
- ๑๖. มัคคารัมมณติกะ ได้แก่ ธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์, ธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุ, และธรรมที่มีมรรคเป็นใหญ่ (อธิบดี)
- ๑๗. อุปปันนติกะ ได้แก่ ธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว, ธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น, และธรรมที่จักเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
- ๑๘. อตีตติกะ ได้แก่ ธรรมที่เป็นอดีต, ธรรมที่เป็นอนาคต, และธรรมที่เป็นปัจจุบัน
- ๑๙. อตีตารัมมณติกะ ได้แก่ ธรรมที่มีอารมณ์เป็นอดีต, ธรรมที่มีอารมณ์เป็นอนาคต, และธรรมที่มีอารมณ์เป็นปัจจุบัน
- ๒๐. อัชฌัตตติกะ ได้แก่ ธรรมที่เป็นภายใน (ของตน), ธรรมที่เป็นภายนอก (ของผู้อื่น), และธรรมที่เป็นทั้งภายในและภายนอก
- ๒๑. อัชฌัตตารัมมณติกะ ได้แก่ ธรรมที่มีอารมณ์เป็นภายใน, ธรรมที่มีอารมณ์เป็นภายนอก, และธรรมที่มีอารมณ์เป็นทั้งภายในและภายนอก
- ๒๒. สนิทัสสนติกะ ได้แก่ ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้ (เช่น รูป), ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ (เช่น เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัสทางกาย), และธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ (เช่น จิตใจ, นิพพาน)
เหตุทุกะ ๖ หมวด
- ๑. เหตุทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นตัวเหตุโดยตรง (คือ เหตุ ๖) หรือไม่เป็นเหตุ
- ๒. สเหตุทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเกิดขึ้นพร้อมมีเหตุประกอบ หรือเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุประกอบ
- ๓. เหตุสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าสัมปยุตด้วยเหตุ (เกิดร่วมกับเหตุ) หรือวิปปยุตจากเหตุ (ไม่เกิดร่วมกับเหตุ)
- ๔. เหตุสเหตุกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งเหตุและมีเหตุในตัวเอง หรือมีเหตุแต่ตัวเองไม่เป็นเหตุโดยตรง
- ๕. เหตุเหตุสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งเหตุและสัมปยุตด้วยเหตุ หรือสัมปยุตด้วยเหตุแต่ตัวเองไม่เป็นเหตุ
- ๖. นเหตุสเหตุกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าถึงแม้จะไม่เป็นเหตุโดยตรงแต่ก็มีเหตุประกอบ หรือธรรมที่ไม่เป็นเหตุและไม่มีเหตุประกอบเลย
จูฬันตรทุกะ ๗ หมวด
- ๗-๑. สัปปัจจยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเกิดขึ้นโดยอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง หรือเกิดขึ้นโดยไม่อาศัยปัจจัยปรุงแต่ง (คือ พระนิพพาน)
- ๘-๒. สังขตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นสังขตะ (ถูกปรุงแต่ง) หรือเป็นอสังขตะ (ไม่ถูกปรุงแต่ง คือ พระนิพพาน)
- ๙-๓. สนิทัสสนทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่สามารถเห็นได้ด้วยตา หรือไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา
- ๑๐-๔. สัปปฏิฆทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่สามารถกระทบได้ (ด้วยประสาทสัมผัส) หรือไม่สามารถกระทบได้
- ๑๑-๕. รูปิทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นรูปธรรม (มีรูปร่าง) หรือเป็นอรูปธรรม (ไม่มีรูปร่าง คือ จิต เจตสิก นิพพาน)
- ๑๒-๖. โลกิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นโลกิยะ (ยังเวียนว่ายในสังสารวัฏ) หรือเป็นโลกุตตระ (พ้นจากสังสารวัฏ)
- ๑๓-๗. เกนจิวิญเญยยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่สามารถรู้ได้ด้วยจิตบางประเภท และธรรมที่จิตบางประเภทก็ไม่สามารถรู้ได้
อาสวโคจฉกะ ๖ หมวด
- ๑๔-๑. อาสวทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นตัวอาสวะ (กิเลสที่หมักดอง) โดยตรง หรือไม่เป็นอาสวะ
- ๑๕-๒. สาสวทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นอารมณ์ (ที่ตั้ง) ของอาสวะ หรือไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
- ๑๖-๓. อาสวสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าสัมปยุตด้วยอาสวะ (เกิดร่วมกับอาสวะ) หรือวิปปยุตจากอาสวะ (ไม่เกิดร่วมกับอาสวะ)
- ๑๗-๔. อาสวสาสวทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวอาสวะและเป็นอารมณ์ของอาสวะด้วย หรือเป็นอารมณ์ของอาสวะแต่ตัวเองไม่เป็นอาสวะ
- ๑๘-๕. อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวอาสวะและสัมปยุตด้วยอาสวะ หรือสัมปยุตด้วยอาสวะแต่ตัวเองไม่เป็นอาสวะ
- ๑๙-๖. อาสววิปปยุตตสาสวทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าแม้จะไม่ได้เกิดร่วมกับอาสวะแต่ก็ยังเป็นอารมณ์ของอาสวะได้ หรือธรรมที่ไม่ได้เกิดร่วมกับอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะด้วย (คือ โลกุตตรธรรม)
สัญโญชนโคจฉกะ ๖ หมวด
- ๒๐-๑. สัญโญชนทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นตัวสัญโญชน์ (กิเลสเครื่องร้อยรัดสัตว์ไว้ในภพ) โดยตรง หรือไม่เป็นสัญโญชน์
- ๒๑-๒. สัญโญชนิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นอารมณ์ (ที่ตั้ง) ของสัญโญชน์ หรือไม่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์
- ๒๒-๓. สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าสัมปยุตด้วยสัญโญชน์ (เกิดร่วมกับสัญโญชน์) หรือวิปปยุตจากสัญโญชน์ (ไม่เกิดร่วมกับสัญโญชน์)
- ๒๓-๔. สัญโญชนสัญโญชนิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวสัญโญชน์และเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์ด้วย หรือเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์แต่ตัวเองไม่เป็นสัญโญชน์
- ๒๔-๕. สัญโญชนสัญโญชนสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวสัญโญชน์และสัมปยุตด้วยสัญโญชน์ หรือสัมปยุตด้วยสัญโญชน์แต่ตัวเองไม่เป็นสัญโญชน์
- ๒๕-๖. สัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าแม้จะไม่ได้เกิดร่วมกับสัญโญชน์แต่ก็ยังเป็นอารมณ์ของสัญโญชน์ได้ หรือธรรมที่ไม่ได้เกิดร่วมกับสัญโญชน์และไม่เป็นอารมณ์ของสัญโญชน์ด้วย
คันถโคจฉกะ ๖ หมวด
- ๒๖-๑. คันถทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นตัวคันถะ (กิเลสเครื่องผูกกาย) โดยตรง หรือไม่เป็นคันถะ
- ๒๗-๒. คันถนิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นอารมณ์ (ที่ตั้ง) ของคันถะ หรือไม่เป็นอารมณ์ของคันถะ
- ๒๘-๓. คันถสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าสัมปยุตด้วยคันถะ (เกิดร่วมกับคันถะ) หรือวิปปยุตจากคันถะ (ไม่เกิดร่วมกับคันถะ)
- ๒๙-๔. คันถคันถนิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวคันถะและเป็นอารมณ์ของคันถะด้วย หรือเป็นอารมณ์ของคันถะแต่ตัวเองไม่เป็นคันถะ
- ๓๐-๕. คันถคันถสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวคันถะและสัมปยุตด้วยคันถะ หรือสัมปยุตด้วยคันถะแต่ตัวเองไม่เป็นคันถะ
- ๓๑-๖. คันถวิปปยุตตคันถนิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าแม้จะไม่ได้เกิดร่วมกับคันถะแต่ก็ยังเป็นอารมณ์ของคันถะได้ หรือธรรมที่ไม่ได้เกิดร่วมกับคันถะและไม่เป็นอารมณ์ของคันถะด้วย
โอฆโคจฉกะ ๖ หมวด
- ๓๒-๑. โอฆทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นตัวโอฆะ (กิเลสเหมือนห้วงน้ำ) โดยตรง หรือไม่เป็นโอฆะ
- ๓๓-๒. โอฆนิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นอารมณ์ (ที่ตั้ง) ของโอฆะ หรือไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะ
- ๓๔-๓. โอฆสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าสัมปยุตด้วยโอฆะ (เกิดร่วมกับโอฆะ) หรือวิปปยุตจากโอฆะ (ไม่เกิดร่วมกับโอฆะ)
- ๓๕-๔. โอฆโอฆนิยทุกกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวโอฆะและเป็นอารมณ์ของโอฆะด้วย หรือเป็นอารมณ์ของโอฆะแต่ตัวเองไม่เป็นโอฆะ
- ๓๖-๕. โอฆโอฆสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวโอฆะและสัมปยุตด้วยโอฆะ หรือสัมปยุตด้วยโอฆะแต่ตัวเองไม่เป็นโอฆะ
- ๓๗-๖. โอฆวิปปยุตตโอฆนิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าแม้จะไม่ได้เกิดร่วมกับโอฆะแต่ก็ยังเป็นอารมณ์ของโอฆะได้ หรือธรรมที่ไม่ได้เกิดร่วมกับโอฆะและไม่เป็นอารมณ์ของโอฆะด้วย
โยคโคจฉกะ ๖ หมวด
- ๓๘-๑. โยคทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นตัวโยคะ (กิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพ) โดยตรง หรือไม่เป็นโยคะ
- ๓๙-๒. โยคนิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นอารมณ์ (ที่ตั้ง) ของโยคะ หรือไม่เป็นอารมณ์ของโยคะ
- ๔๐-๓. โยคสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าสัมปยุตด้วยโยคะ (เกิดร่วมกับโยคะ) หรือวิปปยุตจากโยคะ (ไม่เกิดร่วมกับโยคะ)
- ๔๑-๔. โยคโยคนิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวโยคะและเป็นอารมณ์ของโยคะด้วย หรือเป็นอารมณ์ของโยคะแต่ตัวเองไม่เป็นโยคะ
- ๔๒-๕. โยคโยคสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวโยคะและสัมปยุตด้วยโยคะ หรือสัมปยุตด้วยโยคะแต่ตัวเองไม่เป็นโยคะ
- ๔๓-๖. โยควิปปยุตตโยคนิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าแม้จะไม่ได้เกิดร่วมกับโยคะแต่ก็ยังเป็นอารมณ์ของโยคะได้ หรือธรรมที่ไม่ได้เกิดร่วมกับโยคะและไม่เป็นอารมณ์ของโยคะด้วย
นีวรณโคจฉกะ ๖ หมวด
- ๔๔-๑. นีวรณทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นตัวนิวรณ์ (กิเลสเครื่องกั้นความดี) โดยตรง หรือไม่เป็นนิวรณ์
- ๔๕-๒. นีวรณิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นอารมณ์ (ที่ตั้ง) ของนิวรณ์ หรือไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
- ๔๖-๓. นีวรณสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าสัมปยุตด้วยนิวรณ์ (เกิดร่วมกับนิวรณ์) หรือวิปปยุตจากนิวรณ์ (ไม่เกิดร่วมกับนิวรณ์)
- ๔๗-๔. นีวรณนีวรณิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ด้วย หรือเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ตัวเองไม่เป็นนิวรณ์
- ๔๘-๕. นีวรณนีวรณสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์ หรือสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ตัวเองไม่เป็นนิวรณ์
- ๔๙-๖. นีวรณวิปปยุตตนีวรณิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าแม้จะไม่ได้เกิดร่วมกับนิวรณ์แต่ก็ยังเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ได้ หรือธรรมที่ไม่ได้เกิดร่วมกับนิวรณ์และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ด้วย
ปรามาสโคจฉกะ ๕ หมวด
- ๕๐-๑. ปรามาสทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นตัวปรามาสะ (ความเห็นผิดที่ยึดมั่น) โดยตรง หรือไม่เป็นปรามาสะ
- ๕๑-๒. ปรามัฏฐทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นอารมณ์ (ที่ตั้ง) ของปรามาสะ หรือไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสะ
- ๕๒-๓. ปรามาสสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าสัมปยุตด้วยปรามาสะ (เกิดร่วมกับความเห็นผิด) หรือวิปปยุตจากปรามาสะ (ไม่เกิดร่วมกับความเห็นผิด)
- ๕๓-๔. ปรามาสปรามัฏฐทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวปรามาสะและเป็นอารมณ์ของปรามาสะด้วย หรือเป็นอารมณ์ของปรามาสะแต่ตัวเองไม่เป็นปรามาสะ
- ๕๔-๕. ปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าแม้จะไม่ได้เกิดร่วมกับปรามาสะแต่ก็ยังเป็นอารมณ์ของปรามาสะได้ หรือธรรมที่ไม่ได้เกิดร่วมกับปรามาสะและไม่เป็นอารมณ์ของปรามาสะด้วย
มหันตรทุกะ ๑๔ หมวด
- ๕๕-๑. สารัมมณทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่ามีอารมณ์ (สิ่งที่ถูกรู้) หรือไม่มีอารมณ์ (เช่น รูป, นิพพาน)
- ๕๖-๒. จิตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นตัวจิต (สภาพที่รู้อารมณ์) หรือไม่เป็นจิต
- ๕๗-๓. เจตสิกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นเจตสิก (สภาวะที่ประกอบกับจิต) หรือไม่เป็นเจตสิก
- ๕๘-๔. จิตตสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าสัมปยุตด้วยจิต (ประกอบกับจิตได้) หรือวิปปยุตจากจิต (ไม่ประกอบกับจิต)
- ๕๙-๕. จิตตสังสัฏฐทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเจือกับจิต (เกิดร่วมกัน) หรือไม่เจือกับจิต
- ๖๐-๖. จิตตสมุฏฐานทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่ามีจิตเป็นสมุฏฐาน (มีจิตเป็นแดนเกิด) หรือไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน
- ๖๑-๗. จิตตสหภูทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเกิดพร้อมกับจิต หรือไม่เกิดพร้อมกับจิต
- ๖๒-๘. จิตตานุปริวัตติทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเกิดคล้อยตามจิต (เป็นไปตามจิต) หรือไม่เกิดคล้อยตามจิต
- ๖๓-๙. จิตตสังสัฏฐสมุฏฐานทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเจือกับจิตและมีจิตเป็นสมุฏฐาน หรือไม่เป็นทั้งสองอย่าง
- ๖๔-๑๐. จิตตสังสัฏฐสมุฏฐานสหภูทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเจือกับจิต มีจิตเป็นสมุฏฐาน และเกิดร่วมกับจิต หรือไม่เป็นทั้งสามอย่าง
- ๖๕-๑๑. จิตตสังสัฏฐสมุฏฐานานุปริวัตติทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเจือกับจิต มีจิตเป็นสมุฏฐาน และเกิดคล้อยตามจิต หรือไม่เป็นทั้งสามอย่าง
- ๖๖-๑๒. อัชฌัตติกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นภายใน (อายตนะภายใน) หรือเป็นภายนอก (อายตนะภายนอก)
- ๖๗-๑๓. อุปาทาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นอุปาทายรูป (รูปที่อาศัยมหาภูตรูปเกิด) หรือไม่เป็นอุปาทายรูป
- ๖๘-๑๔. อุปาทินนทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นสิ่งที่กรรมเข้ายึดครอง (เป็นผลของกรรม) หรือเป็นสิ่งที่กรรมไม่เข้ายึดครอง
อุปาทานโคจฉกะ ๖ หมวด
- ๖๙-๑. อุปาทานทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นตัวอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) โดยตรง หรือไม่เป็นอุปาทาน
- ๗๐-๒. อุปาทานิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นอารมณ์ (ที่ตั้ง) ของอุปาทาน หรือไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
- ๗๑-๓. อุปาทานสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าสัมปยุตด้วยอุปาทาน (เกิดร่วมกับอุปาทาน) หรือวิปปยุตจากอุปาทาน (ไม่เกิดร่วมกับอุปาทาน)
- ๗๒-๔. อุปาทานอุปาทานิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวอุปาทานและเป็นอารมณ์ของอุปาทานด้วย หรือเป็นอารมณ์ของอุปาทานแต่ตัวเองไม่เป็นอุปาทาน
- ๗๓-๕. อุปาทานอุปาทานสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวอุปาทานและสัมปยุตด้วยอุปาทาน หรือสัมปยุตด้วยอุปาทานแต่ตัวเองไม่เป็นอุปาทาน
- ๗๔-๖. อุปาทานวิปปยุตตอุปาทานิยทุก ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าแม้จะไม่ได้เกิดร่วมกับอุปาทานแต่ก็ยังเป็นอารมณ์ของอุปาทานได้ หรือธรรมที่ไม่ได้เกิดร่วมกับอุปาทานและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทานด้วย
กิเลสโคจฉกะ ๘ หมวด
- ๗๕-๑. กิเลสทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นตัวกิเลสโดยตรง หรือไม่เป็นกิเลส
- ๗๖-๒. สังกิเลสิกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นอารมณ์ (ที่ตั้ง) ของกิเลส หรือไม่เป็นอารมณ์ของกิเลส
- ๗๗-๓. สังกิลิฏฐทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นสภาวะที่เศร้าหมอง (คือ อกุศลธรรม) หรือไม่เศร้าหมอง
- ๗๘-๔. กิเลสสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าสัมปยุตด้วยกิเลส (เกิดร่วมกับกิเลส) หรือวิปปยุตจากกิเลส (ไม่เกิดร่วมกับกิเลส)
- ๗๙-๕. กิเลสสังกิเลสิกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวกิเลสและเป็นอารมณ์ของกิเลสด้วย หรือเป็นอารมณ์ของกิเลสแต่ตัวเองไม่เป็นกิเลส
- ๘๐-๖. กิเลสสังกิลิฏฐทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวกิเลสและเป็นสภาวะที่เศร้าหมอง หรือเป็นสภาวะที่เศร้าหมองแต่ตัวเองไม่เป็นกิเลส
- ๘๑-๗. กิเลสกิเลสสัมปยุตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นทั้งตัวกิเลสและสัมปยุตด้วยกิเลส หรือสัมปยุตด้วยกิเลสแต่ตัวเองไม่เป็นกิเลส
- ๘๒-๘. กิเลสวิปปยุตตสังกิเลสิกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าแม้จะไม่ได้เกิดร่วมกับกิเลสแต่ก็ยังเป็นอารมณ์ของกิเลสได้ หรือธรรมที่ไม่ได้เกิดร่วมกับกิเลสและไม่เป็นอารมณ์ของกิเลสด้วย
ปิฏฐิทุกะ ๑๘ หมวด
- ๘๓-๑. ทัสสเนนปหาตัพพทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่ต้องละด้วยโสดาปัตติมรรค หรือธรรมที่ไม่ต้องละด้วยโสดาปัตติมรรค
- ๘๔-๒. ภาวนายปหาตัพพทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่ต้องละด้วยมรรคเบื้องสูง ๓ หรือธรรมที่ไม่ต้องละด้วยมรรคเบื้องสูง ๓
- ๘๕-๓. ทัสสเนนปหาตัพพเหตุกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่มีเหตุอันต้องละด้วยโสดาปัตติมรรค หรือไม่มีเหตุที่ต้องละด้วยโสดาปัตติมรรค
- ๘๖-๔. ภาวนายปหาตัพพเหตุกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่มีเหตุอันต้องละด้วยมรรคเบื้องสูง ๓ หรือไม่มีเหตุที่ต้องละด้วยมรรคเบื้องสูง ๓
- ๘๗-๕. สวิตักกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่ามีวิตก (การตรึก) หรือไม่มีวิตก
- ๘๘-๖. สวิจารทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่ามีวิจาร (การตรอง) หรือไม่มีวิจาร
- ๘๙-๗. สัปปีติกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่ามีปีติ หรือไม่มีปีติ
- ๙๐-๘. ปีติสหคตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเกิดพร้อมกับปีติ หรือไม่เกิดพร้อมกับปีติ
- ๙๑-๙. สุขสหคตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเกิดพร้อมกับสุขเวทนา หรือไม่เกิดพร้อมกับสุขเวทนา
- ๙๒-๑๐. อุเปกขาสหคตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเกิดพร้อมกับอุเบกขาเวทนา หรือไม่เกิดพร้อมกับอุเบกขาเวทนา
- ๙๓-๑๑. กามาวจรทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นกามาวจร (ข้องอยู่ในกาม) หรือไม่เป็นกามาวจร
- ๙๔-๑๒. รูปาวจรทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นรูปาวจร (ข้องอยู่ในรูป) หรือไม่เป็นรูปาวจร
- ๙๕-๑๓. อรูปาวจรทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นอรูปาวจร (ข้องอยู่ในอรูป) หรือไม่เป็นอรูปาวจร
- ๙๖-๑๔. ปริยาปันนทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่านับเนื่องในวัฏฏะ หรือไม่นับเนื่องในวัฏฏะ (คือ โลกุตตรธรรม)
- ๙๗-๑๕. นิยยานิกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นเหตุนำออกจากทุกข์ในสังสารวัฏ หรือไม่เป็นเหตุนำออก
- ๙๘-๑६. นิยตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าให้ผลที่แน่นอน หรือให้ผลที่ไม่แน่นอน
- ๙๙-๑๗. สอุตตรทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่ายังมีธรรมอื่นยิ่งกว่า หรือไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า (คือ โลกุตตรธรรม)
- ๑๐๐-๑๘. สรณทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่ามีกิเลสเป็นที่พึ่ง (เกิดพร้อมกิเลส) หรือไม่มีกิเลสเป็นที่พึ่ง
สุตตันตมาติกา ๔๒ ทุกะ
- ๑. วิชชาภาคีทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นส่วนของวิชชา หรือเป็นส่วนของอวิชชา
- ๒. วิชชูปมทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่เปรียบเหมือนฟ้าแลบ (ปัญญา) หรือเหมือนฟ้าผ่า (มรรค)
- ๓. พาลทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่ทำให้เป็นพาล หรือธรรมที่ทำให้เป็นบัณฑิต
- ๔. กัณหทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมฝ่ายดำ (อกุศล) หรือธรรมฝ่ายขาว (กุศล)
- ๕. ตปนิยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่ทำให้เดือดร้อน หรือธรรมที่ไม่ทำให้เดือดร้อน
- ๖. อธิวจนทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่เป็นเพียงชื่อเรียก หรือธรรมที่เป็นสภาวะจริงอันเป็นที่มาของชื่อเรียก
- ๗. นิรุตติทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่เป็นเพียงถ้อยคำ หรือธรรมที่เป็นสภาวะจริงอันเป็นที่มาของถ้อยคำ
- ๘. ปัญญัติติทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมที่เป็นบัญญัติ (สิ่งที่ถูกกำหนดขึ้น) หรือธรรมที่เป็นสภาวะจริงอันเป็นที่มาของบัญญัติ
- ๙. นามรูปทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมว่าเป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรม
- ๑๐. อวิชชาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคืออวิชชา (ความไม่รู้) และภวตัณหา (ความทะยานอยากในภพ)
- ๑๑. ภวทิฏฐิทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือภวทิฏฐิ (ความเห็นว่ามี) และวิภวทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มี)
- ๑๒. สัสสตทิฏฐิทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือสัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง) และอุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าสูญ)
- ๑๓. อันตวาทิฏฐิทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความเห็นว่ามีที่สุด และความเห็นว่าไม่มีที่สุด
- ๑๔. ปุพพันตานุทิฏฐิทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความเห็นที่ปรารภอดีต และความเห็นที่ปรารภอนาคต
- ๑๕. อหิริกทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความไม่ละอายบาป และความไม่เกรงกลัวต่อผลของบาป
- ๑๖. หิริทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความละอายบาป และความเกรงกลัวต่อผลของบาป
- ๑๗. โทวจัสสตาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความเป็นผู้ว่ายาก และความเป็นผู้มีมิตรชั่ว
- ๑๘. โสวจัสสตาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความเป็นผู้ว่าง่าย และความเป็นผู้มีมิตรดี
- ๑๙. อาปัตติกุสลตาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความฉลาดในอาบัติ และความฉลาดในการออกจากอาบัติ
- ๒๐. สมาปัตติกุสลตาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความฉลาดในสมาบัติ และความฉลาดในการออกจากสมาบัติ
- ๒๑. ธาตุกุสลตาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความฉลาดในธาตุ และความฉลาดในการพิจารณา
- ๒๒. อายตนกุสลตาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความฉลาดในอายตนะ และความฉลาดในปฏิจจสมุปบาท
- ๒๓. ฐานกุสลตาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความฉลาดในสิ่งที่เป็นไปได้ และความฉลาดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
- ๒๔. อาชชวทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความซื่อตรง และความอ่อนโยน
- ๒๕. ขันติทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความอดทน และความสงบเสงี่ยม
- ๒๖. สาขัลยทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความเป็นผู้มีวาจาอ่อนหวาน และการต้อนรับปราศรัย
- ๒๗. อินทริยอคุตตทวารตาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความไม่สำรวมอินทรีย์ และความไม่รู้ประมาณในอาหาร
- ๒๘. อินทริยคุตตทวารตาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความสำรวมอินทรีย์ และความรู้ประมาณในอาหาร
- ๒๙. มุฏฐสัจจทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความหลงลืมสติ และความไม่มีสัมปชัญญะ
- ๓๐. สติทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือสติ และสัมปชัญญะ
- ๓๑. ปฏิสังขานพลทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือกำลังคือการพิจารณา และกำลังคือการอบรม (ภาวนา)
- ๓๒. สมถฑุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือสมถะ และวิปัสสนา
- ๓๓. นิมิตตทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือนิมิตแห่งสมถะ และนิมิตแห่งความเพียร
- ๓๔. ปัคคาหทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความเพียร และความไม่ฟุ้งซ่าน
- ๓๕. วิปัตติทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความวิบัติแห่งศีล และความวิบัติแห่งทิฏฐิ
- ๓๖. สัมปทาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความสมบูรณ์แห่งศีล และความสมบูรณ์แห่งทิฏฐิ
- ๓๗. วิสุทธิทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความหมดจดแห่งศีล และความหมดจดแห่งทิฏฐิ
- ๓๘. ทิฏฐิวิสุทธิทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความหมดจดแห่งทิฏฐิ และความเพียรของผู้มีทิฏฐิอันหมดจด
- ๓๙. สังเวคทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความสลดใจในสิ่งที่ควรสลด และความเพียรโดยแยบคายของผู้สลดใจแล้ว
- ๔๐. อสันตุฏฐตาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือความไม่สันโดษในกุศลธรรม และความไม่ท้อถอยในความเพียร
- ๔๑. วิชชาทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือวิชชา (ความรู้แจ้ง) และวิมุตติ (ความหลุดพ้น)
- ๔๒. ขยญาณทุกะ ได้แก่ การจำแนกธรรมคือญาณในความสิ้นไป (แห่งกิเลส) และญาณในความไม่เกิดขึ้นอีก (แห่งกิเลส)