บนหนทางแห่งความบริสุทธิ์ทั้ง ๗ ประการตามที่รจนาไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค สีลวิสุทธิ หรือ "ความบริสุทธิ์แห่งศีล" คือปฐมบทและเป็นบันไดขั้นแรกที่ขาดเสียมิได้ เปรียบเสมือนพื้นดินอันราบเรียบและแข็งแกร่ง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการสร้าง ปราสาทแห่งสมาธิและปัญญาให้สูงตระหง่านขึ้นไป
คำว่า "ศีล" ในทางพระพุทธศาสนา ไม่ใช่แค่ข้อห้าม แต่หมายถึง เจตนา ที่จะงดเว้นจากความชั่วทางกายและวาจา เป็นการสำรวมระวังด้วยสติเพื่อรักษากาย วาจา ให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากโทษทั้งในทางโลกและทางธรรม
องค์ประกอบแห่งความบริสุทธิ์: จาตุปาริสุทธิศีล
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค พระพุทธโฆสาจารย์ได้วิเคราะห์ความบริสุทธิ์แห่งศีลไว้อย่างเป็นระบบ ผ่าน "จาตุปาริสุทธิศีล" หรือศีล ๔ ประการ ได้แก่:
๑. ปาฏิโมกขสังวรศีล
การสำรวมในสิกขาบทหลัก ๒๒๗ ข้อที่บัญญัติในพระปาฏิโมกข์ เปรียบเหมือนรั้วบ้านที่ป้องกันอันตรายภายนอก และรักษาความสงบของหมู่คณะ
๒. อินทรียสังวรศีล
การสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ตามมหาสติปัฏฐานสูตร และ สติปัฏฐานสูตร โดยมีสติคอยเฝ้าดู ไม่ปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำ เปรียบเสมือนนายทวารเฝ้าประตูเมือง
๓. อาชีวปาริสุทธิศีล
การเลี้ยงชีพด้วยความบริสุทธิ์ ไม่แสวงหาลาภโดยมิชอบ ตามคำสอนใน มหาจัตตารีสกสูตร และ อัคคัปปาสาทสูตร แสดงถึงความซื่อสัตย์ต่อพระธรรมวินัย
๔. ปัจจัยสันนิสิตศีล
การพิจารณาปัจจัย ๔ ด้วยปัญญาก่อนบริโภค ใช้หลักการจาก พระวินัยปิฎก มหาวรรค เช่น "เราฉันอาหารนี้เพียงเพื่อให้กายตั้งอยู่" เพื่อไม่ให้เกิดตัณหา
อานิสงส์แห่งศีล: บันไดสู่ความสุขและสมาธิ
พระพุทธองค์ตรัสใน อนัปปิยสูตร ว่า ศีลที่บริสุทธิ์เป็นเหตุโดยตรงที่นำไปสู่ อวิปปฏิสาร (ความไม่ร้อนใจ) → ปราโมทย์ (ความบันเทิงใจ) → ปีติ (ความอิ่มใจ) → ปัสสัทธิ (กายสงบ) → สุข → และ สมาธิ ตามลำดับ จึงทำให้ศีลเป็นรากฐานที่แยกออกจากการปฏิบัติขั้นต่อไปไม่ได้