พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๐

ความหมายของชื่อคัมภีร์ “จูฬนิทเทส” (จู-ละ-นิด-เทด) มาจากศัพท์บาลี ๒ คำ คือ “จูฬ” แปลว่า เล็ก, น้อย และ “นิทเทส” แปลว่า คำอธิบาย, การชี้แจง, การบรรยาย ดังนั้น จูฬนิทเทส จึงหมายถึง “คำอธิบายเบ็ดเตล็ดส่วนน้อย” หรือ “คัมภีร์อรรถาธิบายขนาดเล็ก” ซึ่งเป็นคัมภีร์คู่กันกับ “มหานิทเทส” (คัมภีร์อรรถาธิบายขนาดใหญ่)

เนื้อหาและรูปแบบของคัมภีร์

จูฬนิทเทสเป็นคัมภีร์ที่มีสถานะพิเศษอย่างยิ่ง เพราะแม้จะมีรูปแบบเป็น “อรรถกถา” หรือคัมภีร์อธิบายความ แต่ก็ได้รับการยอมรับและจัดเข้าไว้ในพระไตรปิฎกด้วย ซึ่งแตกต่างจากอรรถกถาทั่วไปที่อยู่นอกพระไตรปิฎก ตามมติของฝ่ายเถรวาทเชื่อกันว่าคัมภีร์นี้รจนาโดย พระสารีบุตรเถระ อัครสาวกผู้เป็นเลิศทางปัญญา เนื้อหาของจูฬนิทเทสเป็นการอธิบายขยายความพระสูตร ๒ บทสำคัญที่อยู่ในคัมภีร์ “สุตตนิบาต” (ซึ่งเป็นอีกคัมภีร์หนึ่งในขุททกนิกาย) ได้แก่:

  • ๑. ปารายนวรรค: เป็นวรรค (หมวด) สุดท้ายของสุตตนิบาต ประกอบด้วยคำถามของมาณพ ๑๖ คนที่ถามปัญหาธรรมอันลึกซึ้งต่อพระพุทธองค์ จูฬนิทเทสจะอธิบายทั้งคำถามและคำตอบในแต่ละบทอย่างละเอียด
  • ๒. ขัคควิสาณสูตร: พระสูตรที่ว่าด้วยข้อปฏิบัติของผู้ที่ประพฤติตนโดดเดี่ยวเพื่อการบรรลุธรรม ดุจดั่งนอแรดที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว จูฬนิทเทสจะอธิบายความหมายของคาถาแต่ละบทในพระสูตรนี้

รูปแบบการอธิบายจะเป็นแบบคำต่อคำ โดยจะยกศัพท์ในพระสูตรขึ้นมาหนึ่งคำ แล้วอธิบายด้วยคำไวพจน์ (คำที่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงกัน) จำนวนมาก เพื่อให้เกิดความเข้าใจในความหมายและขอบเขตของศัพท์นั้นๆ อย่างชัดเจนที่สุด

คุณค่าและความสำคัญ

จูฬนิทเทสเป็นหนึ่งในคัมภีร์อรรถกถาที่เก่าแก่ที่สุดและได้รับการยอมรับนับถืออย่างสูงสุด เนื่องจากถูกจัดไว้ในฐานะพุทธพจน์ (ผ่านการอธิบายของพระสารีบุตร) เป็นเครื่องมืออันล้ำค่าที่ช่วยให้ผู้ศึกษาสามารถเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของปารายนวรรคและขัคควิสาณสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่เก่าแก่และมีความสำคัญมาก ๒ บทได้ การอธิบายด้วยคำไวพจน์จำนวนมากยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาภาษาบาลีและศัพท์ทางธรรมในเชิงลึกอีกด้วย

☸️ ขุทฺทกนิกาย จูฬนิทเทส คือคัมภีร์อรรถาธิบายแห่งอัครสาวกที่ถูกประดิษฐานไว้ในพระไตรปิฎก เป็นการไขความหมายของธรรมอันลึกซึ้งให้กระจ่างแจ้งอย่างละเอียดถี่ถ้วน การศึกษาจูฬนิทเทสจึงเปรียบเสมือนการได้นั่งฟังพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรอธิบายพุทธพจน์ให้ฟังด้วยตนเอง เพื่อให้เราเข้าใจแก่นแท้ของคำสอนได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนและบริบูรณ์ด้วยปัญญา

ความหมายของชื่อคัมภีร์

“ปฏิสัมภิทามคฺค” (ปะ-ติ-สำ-พิ-ทา-มัก) มาจากศัพท์บาลี ๒ คำ คือ “ปฏิสัมภิทา” แปลว่า ปัญญาแตกฉาน, ความรู้แจ้งแทงตลอด และ “มัคค” แปลว่า ทาง, หนทาง ดังนั้น ปฏิสัมภิทามรรค จึงหมายถึง “หนทางแห่งปัญญาแตกฉาน” หรือ “คัมภีร์ที่แสดงแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญาแตกฉาน”

เนื้อหาและรูปแบบของคัมภีร์

ปฏิสัมภิทามรรคเป็นคัมภีร์ลำดับที่ ๑๓ ในหมวดขุททกนิกาย แม้จะอยู่ในพระสุตตันตปิฎก แต่มีเนื้อหาและลีลาการอธิบายในเชิงวิเคราะห์อย่างละเอียดลึกซึ้งคล้ายกับพระอภิธรรมอย่างยิ่ง ตามมติของพระเถระในอดีตเชื่อกันว่าคัมภีร์นี้รจนาโดย พระสารีบุตรเถระ อัครสาวกผู้เป็นเลิศทางปัญญา เนื้อหาทั้งหมดของคัมภีร์เป็นการอธิบายกระบวนการเกิดปัญญาแตกฉาน ๔ ประการ ที่เรียกว่า “ปฏิสัมภิทา ๔” ซึ่งเป็นคุณสมบัติของพระอริยบุคคลชั้นสูง ได้แก่:

  • ๑. อัตถปฏิสัมภิทา: ปัญญาแตกฉานในอรรถ คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งใน “ผล” และความหมายของธรรมะต่างๆ
  • ๒. ธัมมปฏิสัมภิทา: ปัญญาแตกฉานในธรรม คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งใน “เหตุ” และตัวสภาวธรรมที่ทำให้เกิดผลนั้นๆ
  • ๓. นิรุตติปฏิสัมภิทา: ปัญญาแตกฉานในนิรุกติ คือความเชี่ยวชาญในภาษา บัญญัติศัพท์ และสามารถใช้ถ้อยคำอธิบายธรรมะได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
  • ๔. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา: ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ คือความมีไหวพริบปฏิภาณ สามารถโต้ตอบปัญหาธรรมและอธิบายธรรมได้อย่างคล่องแคล่วแจ่มแจ้งในทันที

คัมภีร์นี้แบ่งเป็น ๓ วรรคใหญ่ คือ มหารรค, ยุคนัทธวรรค และปัญญาวรรค โดยนำหัวข้อธรรมต่างๆ เช่น เรื่องญาณ ๗๓ อย่าง, สติปัฏฐาน, อิทธิบาท, วิปัสสนา เป็นต้น มาอธิบายขยายความโดยละเอียดว่าจะนำไปสู่การเกิดปฏิสัมภิทา ๔ ได้อย่างไร

คุณค่าและความสำคัญ

ปฏิสัมภิทามรรคเป็นหนึ่งในคัมภีร์ที่ลึกซึ้งและเข้าใจได้ยากที่สุดในพระสุตตันตปิฎก แต่ก็มีคุณค่ามหาศาลในฐานะที่เป็น “คู่มือสำหรับผู้ปฏิบัติวิปัสสนาชั้นสูง เป็นการวิเคราะห์กลไกการทำงานของปัญญาอย่างละเอียดที่สุด แสดงให้เห็นว่าปัญญาที่แท้จริงไม่ใช่แค่การท่องจำ แต่เป็นความเข้าใจที่เชื่อมโยงเหตุและผล, ภาษา, และการสื่อสารเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์ เป็นการศึกษา “ภูมิปัญญาของพระอรหันต์” อย่างแท้จริง

☸️ ขุทฺทกนิกาย ปฏิสัมภิทามคฺค คือ “แนวทางสู่ความเป็นเลิศทางปัญญา” ที่รจนาขึ้นโดยพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร เป็นการแจกแจงหนทางและองค์ประกอบของปัญญาแตกฉานไว้อย่างเป็นระบบและหมดจดงดงามที่สุด การศึกษาคัมภีร์นี้เป็นหนทางที่จะทำให้เข้าใจถึงกระบวนการทำงานของปัญญาในระดับโลกุตตระ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

Scroll to Top