อภิ.ธา.
“อภิธมฺมปิฎก ธาตุกถา”
ความหมายของคัมภีร์ ธาตุกถา มาจากศัพท์บาลี ๒ คำ คือ “ธาตุ” แปลว่า ธาตุ, สภาวะที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน, ส่วนประกอบพื้นฐาน และ “กถา” แปลว่า คำพูด, เรื่อง, ถ้อยคำที่กล่าว ดังนั้น ธาตุกถา จึงหมายถึง “ถ้อยคำที่กล่าวว่าด้วยเรื่องธาตุ” หรือ “การอธิบายโดยจำแนกตามธาตุ” ซึ่งหมายถึงการวิเคราะห์สภาวธรรมต่างๆ โดยเชื่อมโยงกับองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิต
เนื้อหาและรูปแบบของคัมภีร์
ธาตุกถาเป็นคัมภีร์ลำดับที่ ๓ แห่งอภิธัมมปิฎก มีเนื้อหาที่ลึกซึ้งและเป็นแบบแผนอย่างยิ่ง โดยไม่ได้บัญญัติธรรมะหมวดใหม่ แต่เป็นการนำสภาวธรรม (ปรมัตถธรรม) ที่แจกแจงไว้แล้วใน ๒ คัมภีร์แรก (ธัมมสังคณีและวิภังค์) มาจัดหมวดหมู่และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ โดยใช้แม่บทหลัก ๓ หมวด คือ:
- ๑. ขันธ์ ๕ (รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ)
- ๒. อายตนะ ๑๒ (ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ และ รูป, เสียง, กลิ่น, รส, โผฏฐัพพะ, ธรรมารมณ์)
- ๓. ธาตุ ๑๘ (อายตนะ ๑๒ + วิญญาณธาตุ ๖ จักขุวิญญาณ เป็นต้น)
รูปแบบของคัมภีร์นี้เป็นการตั้งคำถาม-ตอบเชิงวิเคราะห์ (มาติกา) เพื่อพิจารณาว่าธรรมะแต่ละอย่างนั้น สงฺคหิตํ สงเคราะห์เข้ากันได้ (จัดเข้าพวกได้) กับขันธ์ อายตนะ ธาตุ หมวดใดได้บ้าง อสงฺคหิตํ สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้ (จัดเข้าพวกไม่ได้) กับขันธ์ อายตนะ ธาตุ หมวดใดบ้าง สมฺปยุตฺตํ ประกอบกันได้ (ทำงานร่วมกัน) กับขันธ์หมวดใดได้บ้าง
ตัวอย่างเช่น การตั้งคำถามว่า “ธรรมที่เป็นกุศล สงเคราะห์ได้ด้วยขันธ์เท่าไร อายตนะเท่าไร ธาตุเท่าไร?” เป็นต้น ซึ่งเป็นการฝึกฝนให้เกิดความแม่นยำในการจำแนกสภาวธรรมอย่างถึงที่สุด คุณค่าและความสำคัญ ธาตุกถาเปรียบเสมือน “คู่มือการฝึกวิเคราะห์และสังเคราะห์ธรรมะ” เป็นการฝึกฝนปัญญาของผู้ศึกษาให้เฉียบคม สามารถมองเห็นสภาวธรรมต่างๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิตได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าล้วนสัมพันธ์อยู่กับ ขันธ์ อายตนะ และธาตุ ไม่ได้มี “ตัวตน” หรือ “เรา” ที่เป็นแก่นสารถาวรอยู่จริง การศึกษาคัมภีร์นี้จึงเป็นการปูพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งเพื่อความเข้าใจในเรื่องอนัตตา และเป็นสะพานเชื่อมไปสู่ความเข้าใจในคัมภีร์ปัฏฐานอันเป็นคัมภีร์สุดท้ายที่ซับซ้อนที่สุดของอภิธรรม
☸️ อภิธัมมปิฎก ธาตุกถา คือแบบฝึกหัดชั้นสูงทางปัญญา ที่นำพาผู้ศึกษาให้พิจารณาแยกส่วนและรวมส่วนองค์ประกอบของชีวิตอย่างเป็นระบบ เพื่อทำลายความยึดมั่นในความเป็นตัวตน เป็นการวางรากฐานทางความคิดที่แม่นยำและเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเจริญวิปัสสนาเพื่อให้เห็นแจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริงและบรรลุถึงความพ้นทุกข์ในที่สุด
อภิ.ปุ.
“บุคคลปญฺญตฺติ”
ความหมายของคัมภีร์
บุคคลปญฺญตฺติ มาจากศัพท์บาลี ๒ คำ คือ “บุคคล” แปลว่า บุคคล, ตัวตน และ “ปัญญัตติ” แปลว่าการบัญญัติ, การตั้งชื่อ, การกำหนดเรียก ดังนั้น บุคคลปัญญัตติ จึงหมายถึง “การบัญญัติบุคคล” หรือ “คัมภีร์ที่ว่าด้วยการจำแนกประเภทของบุคคล” ตามคุณธรรมและสภาวะต่างๆ
เนื้อหาและรูปแบบของคัมภีร์
บุคคลปัญญัติเป็นคัมภีร์ลำดับที่ ๔ แห่งอภิธัมมปิฎก มีลักษณะพิเศษและแตกต่างจากคัมภีร์อื่นในพระอภิธรรมอย่างชัดเจน กล่าวคือ ในขณะที่คัมภีร์อื่นเน้นการวิเคราะห์สภาวธรรมที่เป็นปรมัตถ์ (จิต, เจตสิก, รูป, นิพพาน) ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่มีตัวตน บุคคลปัญญัตติกลับมุ่งอธิบาย “บัญญัติ” หรือสภาวะสมมติที่เรียกว่า “บุคคล” รูปแบบของคัมภีร์นี้มีลักษณะคล้ายกับคัมภีร์องฺคุตฺตรนิกายในพระสุตตันตปิฎกอย่างมาก โดยจะมีการจัดหมวดหมู่บุคคลตามจำนวนตั้งแต่ ๑ ถึง ๑๐ ตัวอย่างเช่น:
เอกกะ (หมวด ๑) บัญญัติบุคคลประเภทเดียว เช่น บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว
ทุกะ (หมวด ๒) บัญญัติบุคคลเป็นคู่ๆ เช่น บุคคลผู้ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ
ติกะ (หมวด ๓) บัญญัติบุคคล ๓ ประเภท เช่น บุคคลเปรียบเหมือนรอยขีดบนหิน, บนดิน และบนน้ำ (ในแง่ของความโกรธที่หายช้าหรือเร็ว)
จตุกะ (หมวด ๔) บัญญัติบุคคล ๔ ประเภท ซึ่งเป็นหมวดที่สำคัญมาก เช่น พระอริยบุคคล ๔ ประเภท คือ โสดาบัน, สกทาคามี, อนาคามี, และพระอรหันต์
ปัญจกะ (หมวด ๕) บัญญัติบุคคล ๕ ประเภท เช่น นักรบ ๕ จำพวก เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการนำเอาคำจำกัดความของบุคคลประเภทต่างๆ ที่มีอยู่แล้วในพระสุตตันตปิฎกมาจัดระเบียบและรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบคุณค่าและความสำคัญ
บุคคลปัญญัติทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างพระสุตตันตปิฎกที่เน้นการเทศนาโดยอ้างอิงถึงบุคคล กับพระอภิธรรมที่เน้นการวิเคราะห์สภาวธรรมล้วนๆ คัมภีร์นี้ช่วยทำให้เห็นว่า แม้ในทางปรมัตถ์จะไม่มีตัวตน แต่ในทางสมมติสัจจะ เราสามารถบัญญัติบุคคลตามคุณธรรมที่ปรากฏได้ เพื่อประโยชน์ในการสื่อสารและการศึกษาเส้นทางการพัฒนาตนเอง ทำให้ผู้ศึกษาเห็นภาพการเดินทางของบุคคลจากปุถุชนไปสู่การเป็นอริยบุคคลในระดับต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
☸️ อภิธัมมปิฎก บุคคลปัญญัตติ คือ สารานุกรมบุคคลในทางพระพุทธศาสนา เป็นคัมภีร์ที่นำเสนอธรรมะผ่านมุมมองของ”บุคคล” ทำให้หลักอภิธรรมที่ลึกซึ้งสามารถเชื่อมโยงเข้ากับประสบการณ์จริงของมนุษย์ได้ง่ายขึ้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าการจำแนกประเภทบุคคลนั้นมีขึ้นเพื่อประโยชน์ในการชี้แนะแนวทางการปฏิบัติ ไม่ใช่เพื่อการยึดมั่นในตัวตน แต่เพื่อเป็นแผนที่ให้เราสำรวจว่าปัจจุบันเราเป็นบุคคลประเภทใด และควรจะพัฒนาตนให้เป็นบุคคลประเภทใดต่อไปบนหนทางแห่งการพ้นทุกข์
