สังฆาทิเสส

หน้าแรก > พระวินัย > สังฆาทิเสส


พระวินัยปิฎก: สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท

พระวินัยบัญญัติอันเป็นที่มาแห่งอาบัติสังฆาทิเสส มี ๑๓ สิกขาบท ซึ่งเป็นอาบัติที่ต้องอาศัยสงฆ์ระงับอาบัติได้แก่ ปริวาส มานัต และอัพภาน โดยมีรายละเอียดดังนี้:

📍หมวดอนิยต

๑. สัญเจตนิกสิกขาบท

คำอธิบาย ภิกษุอันกำหนัดแกล้งทำให้น้ำอสุจิเคลื่อนออกมาประกอบความเพียรจับ กำ ครูด สี ลูบคลำองคชาต หรือหนีบในระหว่างขา หรือเด้งดันเด้าในท่อนผ้าแลที่มีช่อง และที่ว่างเปล่าเป็นต้นก็ดี ให้น้ำอสุจิเคลื่อนออกจากลำกล้ององคชาตสักหยดหยาดหนึ่ง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เว้นไว้แต่นอนหลับฝันเห็น เมื่อเวลาหลับไม่มีโทษ แต่พอตื่นฟื้นขึ้น ถ้าพลอยเพียรซ้ำเมื่อกำหนัดมิพ้นโทษ

๒. กายสังสัคคสิกขาบท

ภิกษุมีจิตกำหนัดในการจะสัมผัสต้องกายหญิงมนุษย์ มาจับมือ จับมวยผม จับผ้าห่ม จับนม จับแก้ม เคล้าคลึง จูบกอดหญิงมนุษย์ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

๓. ทุฏฐุลลวาจาสิกขาบท

ภิกษุมีจิตกำหนัดน้อมในกาม พึงกล่าวคำชั่วหยาบ เกี้ยวพาน แทะโลมหญิงดังชายหนุ่มอันเกี้ยวพานหญิงสาว กล่าวแทะโลม ถากถางโดยทางเมถุน มาเจรจาเปรียบปรายเฉพาะทวารหนัก ทวารเบา พูดถึงการชำเราให้หญิงได้ยิน แม้จะทักทายว่าสิ่งอื่น ๆ ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ สีแดง สีดำ สีเขียว สีขาว ว่าขนยาว ขนดก ว่าทางรก ทางเตียน ทางแคบ ทางกว้าง เป็นต้นก็ดี แต่จิตมุ่งเอาที่ลับของหญิง หญิงรู้อธิบายของภิกษุขณะเมื่อกล่าวนั้น ภิกษุกล่าวคำหยาบเช่นนี้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

๔. อัตตกามปาริจริยสิกขาบท

ภิกษุมีจิตกำหนัดน้อมไปในกาม พึงกล่าวคำสรรเสริญคุณการบำเรอด้วยกามแก่ตน ในสำนักแห่งหญิงมนุษย์ว่า หญิงคนใดได้บำเรอภิกษุผู้มีศีล เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์เห็นปานดังตัวเรา ที่เป็นคนขัดสนจนด้วยเมถุนสังวาส การบำเรอด้วยเมถุนแก่ภิกษุที่ขัดสนนั้น จะมีผลอานิสงส์เป็นอย่างยอดยิ่ง จะนำตนให้ไปสวรรค์ได้ง่าย ๆ หญิงก็รู้อธิบายในขณะนั้น ภิกษุนั้นต้องอาบัติสังฆาทิเสส

๕. สัญจริตตสิกขาบท

ภิกษุที่ชักสื่อหญิงและชายให้อยู่ร่วมเป็นผัวเมียและชู้กัน นำความประสงค์ของหญิงไปบอกเล่าแก่ชาย ชักโยงให้ทั้งสองได้เป็นตัวเมีย เป็นชู้กัน จะชักนำให้ได้สังวาสกัน แต่ในขณะนั้นเป็นอย่างที่สุด ภิกษุผู้ชักสื่อต้องอาบัติสังฆาทิเสส

(สิกขาบททั้ง ๕ นี้ ให้ภิกษุหมั่นดู หมั่นจำระวังให้จงมาก ภิกษุที่ไม่ได้ศึกษา เป็นคนคะนองกาย วาจา อยู่แล้วก็ล่วงง่าย ๆ ให้จำให้หมายไว้เป็นสำคัญ เทอญ)

📍หมวดอาวาส

๖. สัญญาจิกสิกขาบท

ภิกษุทำเองหรือใช้ให้ผู้อื่นทำกุฏิที่อยู่ ด้วยทัพพสัมภาร(วัตถุดิบ) มีอิฐ ปูน ไม้ เป็นต้น อันตนเที่ยวขอมาเอง ไม่มีทายก(ผู้ถวาย) เป็นเจ้าของผู้สร้างถวาย เฉพาะจะทำอยู่เอง หาให้สงฆ์แสดงพื้นที่ให้ไม่ ทำลงในที่มีอุปัทวันตรายทั้งไม่มีอุปจาร ทำให้เกินประมาณ คือยาวกว่า ๑๒ คืบสุคต กว้างกว่า ๗ คืบสุคต กำหนดวัดในร่วมฝาข้างใน ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

๗. มหัลลกาสิกขาบท

ภิกษุทำเองหรือให้ผู้อื่นทำวิหารที่อยู่เป็นอารามใหญ่ ไม่กำหนดประมาณ มีทายกเป็นเจ้าของลงทุนสร้างถวาย แต่หมายใจเฉพาะอยู่เอง หาให้สงฆ์ชี้ที่ตั้งให้ไม่ ทำตามอำเภอใจ ทำลงในที่มีอุปัทวันตรายและไม่มีอุปจาร ต้องอาบัติสังฆาทิเสส


📍หมวดปฐมาปัตติกา

๘. อมูลกสิกขาบท

ภิกษุซึ่งโกรธขัดเคืองภิกษุอื่น คิดจะให้เคลื่อนจากพรหมจรรย์ คือจะให้สึกเสีย พึงตามกำจัดโจทก์ยกโทษด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล คือ ตัวไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้รังเกียจเลย แกล้งโจทก์เล่นเฉย ๆ จะให้สึกเสียเท่านั้น ภิกษุผู้โจทก์ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

๙. อัญญภาคิยสิกขาบท

คำอธิบาย

ภิกษุซึ่งโกรธภิกษุ แล้วโจทก์ด้วยอาบัติปาราชิกอย่างฉะนั้น ต่างกันแต่เอาเลศมาใส่ไคล้เสแสร้งแกล้งยกโทษ คือ ตนได้เห็นสัตว์เดรัจฉานอันสัดกันเป็นต้น หรือได้รู้ได้เห็นใครลักทรัพย์สิ่งของ ใครฆ่ามนุษย์ ใครอวดฤทธิ์เดชพิเศษทางอุตตริมนุสสธรรม ก็ถือเอาเลศนั้นมาใส่ไคล้แก่ภิกษุที่ตนขัดเคืองกัน กล่าวหายกโทษโจทก์ภิกษุนั้นว่าเสพเมถุน หรือลักทรัพย์ ฆ่ามนุษย์ อวดอุตตริมนุสสธรรมแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ภิกษุผู้โจทก์นั้นต้องอาบัติสังฆาทิเสส

(สิกขาบททั้ง ๔ นี้ ชื่อว่าปฐมาปัตติกา เพราะภิกษุล่วงพระพุทธบัญญัติเมื่อใด ก็ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เมื่อนั้น)

📍หมวดยาวตติยกา

๑๐. สังฆเภทสิกขาบท

ภิกษุอันเพียรพยายามจะทำลายสงฆ์ให้แตกร้าวจากกัน หรือถือเอาอธิกรณ์(เรื่องที่ต้องวินิจฉัย) ที่เป็นไป เพื่อจะทำลายพระสงฆ์ขึ้นเชิดชูอยู่ ภิกษุทั้งหลายที่ได้รู้ได้เห็นพากันว่ากล่าวห้ามปราม ก็ยังดื้อดึงมิได้ลดละความพยายามที่จะทำลายสงฆ์นั้นเสีย ภิกษุทั้งหลายพึงพาภิกษุนั้นมาในท่ามกลางสงฆ์สวดสมนุภาสน์(ว่ากล่าวตักเตือน) ห้ามด้วยบัญญัติจตุตถกรรมวาจา เมื่อจบอนุสาวนา(การสวดประกาศ) ที่ ๓ ลง ถ้ายังไม่ละอายละความเพียรลงเสียไซร้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

๑๑. เภทานุวัตตกสิกขาบท

ภิกษุรูปหนึ่งหรือสองรูป เป็นพรรคพวกประพฤติตามภิกษุที่เพียรจะทำลายสงฆ์นั้น พลอยเข้ามาโต้ท่านต่อเถียงแทนว่า ภิกษุนั้นว่ากล่าวตามธรรมตามวินัย ภิกษุทั้งหลายห้ามปรามสั่งสอนจะให้ละทิฏฐินั้นเสียก็ไม่เชื่อถือ ให้ภิกษุทั้งหลายพามายังท่ามกลางสงฆ์ สวดสมนุภาสน์ห้ามอย่างฉะนั้น เมื่อจบอนุสาวนาที่ ๓ ลง หากยังไม่ละกรรมนั้นไซร้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

๑๒. ทุพพจสิกขาบท

ภิกษุเป็นผู้สอนยาก เมื่อภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวสั่งสอนด้วยข้อพระวินัยบัญญัติก็กลับดื้อดึง ถือตนไม่ยอม ให้ภิกษุทั้งหลายพามายังท่ามกลางสงฆ์ สวดสมนุภาสน์ห้ามปราม เพื่อจะให้ละความเป็นผู้สอนยากนั้นเสีย เมื่อจบอนุสาวนาที่ ๓ ลง ถ้ายังไม่โอนอ่อนหย่อนพยศ ลดมานะทิฏฐิเสียไซร้ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

๑๓. กูลทูสกสิกขาบท

ภิกษุอันอาศัยอยู่ในบ้านหรือนิคมใดแห่งหนึ่งเป็นผู้ประทุษร้ายต่อตระกูลด้วยให้ดอกไม้ผลไม้ แลอาสารับใช้สอยแต่คฤหัสถ์มิใช่ญาติ มิใช่ปวารณา(การอนุญาต) เป็นต้น เป็นบุคคลมีมารยาทอันลามกหยาบช้า ภิกษุทั้งหลายได้รู้ได้เห็นได้ยินข่าว ก็ไม่ปรารถนาจะสมโภค(อยู่ร่วม) คบหาร่วมสังวาส(การอยู่ร่วมกัน) จึงทำปัพพาชนียกรรม(การขับไล่) ขับเสียจากพวกจากหมู่ กลับโต้แย้งติเตียนว่าภิกษุทั้งหลายลุอำนาจแก่อคติ ๔ ลำเอียงไม่เที่ยงธรรม ภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวเพื่อจะให้ละถ้อยคำนั้นเสีย ถ้ายังละเสียไม่ได้ จึงให้พามายังท่ามกลางสงฆ์ สวดสมนุภาสน์ห้ามอย่างฉะนั้น เมื่อจบอนุสาวนาที่ ๓ ลง ถ้ายังขืนติเตียนการกสงฆ์ (หมู่สงฆ์ผู้กระทำกรรม) อยู่ไซร้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส

(สิกขาบททั้ง ๔ นี้ตั้งแต่ ๑๐ มาถึงที่ ๑๓ ชื่อว่ายาวตติยกา ภิกษุทำกิจผิดวินัยวัตร ถ้าพระสงฆ์ยังไม่ได้สวดสมนุภาสน์ห้าม ก็ยังไม่ต้องสังฆาทิเสสก่อน ต่อเมื่อสงฆ์สวดสมนุภาสน์จบอนุสาวนาที่ ๓ ลง จึงต้องสังฆาทิเสสเมื่อนั้น)
อาบัติสังฆาทิเสสทั้ง ๑๓ นี้เป็นวุฏฐานสุทธิ ภิกษุต้องเข้าอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วจะทำตนให้บริสุทธิ์เป็นปกติได้ด้วยปริวาสกรรม(การอยู่กรรมเพื่อระงับอาบัติ) ถ้าต้องเข้าแล้วก็ให้สำแดงบอกเล่าแก่ภิกษุแล้วจึงขอปริวาสแก่พระภิกษุต่อไป ถ้าปกปิดไว้นานวัน นับด้วยวันเดือนปีเท่าไร เมื่อรู้สึกตนจะใคร่พ้นโทษ ก็ต้องอยู่ปริวาสกรรมนับเท่าวันเดือนปีที่ปกปิดไว้นั้นแล้วจึงขอมานัต

(การนับราตรีเพื่อฟื้นฟูความบริสุทธิ์) แต่องค์สงฆ์อีกหกราตรี สงฆ์คณะ ๒๐ รูปให้อัพภาน (การชักออกจากอาบัติ) ชักออกจากโทษได้แล้วจึงเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ ให้ภิกษุพึงจำ แล้วศึกษาให้ชัดเจนถูกต้องเทอญ

จบสังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท