ปาราชิก ๔

หน้าแรก > พระวินัย > ปาราชิก ๔


ปาราชิก ๔ คือ

→ เมถุนปาราชิก ๑
→ อทินนาทานปาราชิก ๑
→ มนุสสวิคคหปาราชิก ๑
→ อุตตริมนุสสธรรมปาราชิก ๑
เป็น ๔ สิกขาบท ฉะนี้

๑. เมถุนสิกขาบทที่หนึ่ง

พุทธบัญญัติห้ามมิให้เสพเมถุนธรรม ภิกษุรูปใดไม่บอกคืนสิกขาบท ยังปฏิญาณตนว่าเป็นภิกษุมาเสพเมถุน คือ ให้องคชาตเข้าไปในทวารทั้ง ๓ คือ

  • ทวารหนัก ๑
  • ทวารเบา ๑
  • ปาก ๑
ของมนุษย์และอมนุษย์ คือเทวดา ยักษ์ เปรต ผี ปีศาจและสัตว์เดรัจฉานทั้งหญิงชาย ตัวผู้ตัวเมีย เป็น ๓ จำพวกด้วยกัน แม้ว่าภิกษุเสพเมถุนในซาก ศพที่มีทวารทั้ง ๓ นั้น อันสัตว์กัดกินเสียยังไม่ครึ่งหนึ่งก็ดี ภิกษุให้ผู้อื่นใส่องคชาตเข้าไปในทวารหนักและปากของตนก็ดี ภิกษุหลังอ่อนก้มลงอมองคชาตของตนเองก็ดี ภิกษุที่มีองคชาตยาวจับองคชาตแหย่แยงเข้าไปในทวารหนัก ของตนเองก็ดี อาการเหล่านี้ชื่อว่าเสพเมถุนทั้งสิ้น

ภิกษุเสพเมถุนในทวารทั้ง ๓ ดังกล่าวนั้น ให้องคชาตเข้าไปในทวารทั้ง ๓ ต้องที่ซุ่มประมาณเมล็ดงาหนึ่งเป็นที่สุด ภิกษุนั้นเป็นปาราชิก

๒. อทินนาทานสิกขาบทที่สอง

พุทธบัญญัติห้ามมิให้ลักทรัพย์สิ่งของที่เจ้าของหวงแหนคำอธิบาย มิได้อนุญาตยอมให้ ภิกษุมีไถยจิต คิดจะขโมย ล้วง ลัก เบียดบัง ฉ้อ ตระบัด ปล้นสะดม ข่มเหง แย่งซื้อ ลอบริบถือเอาพัสดุสิ่งของที่เจ้าของหวงแหน ควรแก่ราคา ๕ มาสก ที่เรียกว่าหนึ่งบาทของชาวมคธขึ้นไป คิดเป็นราคาทองหนัก ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก ทอนลงเป็นเงินสองสลึงเฟื่องกับห้ากล่ำในสยามประเทศนี้ ลักเองก็ดี ให้ผู้อื่นลักก็ดี ภิกษุนั้นเป็นปาราชิก

ในอทินนาทานนี้ ใช่เฉพาะแต่ลักขโมยนำเอาของ ๆ ท่าน มาเท่านั้นเมื่อไร อันการทำประโยชน์ของท่านให้ตกไป ก็เป็นอทินนาทานเหมือนอย่างยุยงทาสของท่านให้หนีไปจากเจ้าเงินก็ดี ทาสท่านหนีไปชี้ทางบอกตำแหน่งที่ให้หนีไปให้พ้น หรือจะเสียดส่อให้เจ้าเงินไปจับตัวมาได้ก็ดี อาการเหล่านี้จัด เป็นอทินนาทานทั้งสิ้น

อนึ่ง แม้ว่าของ ๆ ตนที่จำต้องเสียค่าภาษีตลอด ด่านขนอน เบียดบัง ซ่อนเร้นไปให้พ้นเขตด่าน หรือจะขึ้นขัดไม่เสียให้ผู้ที่เรียกทอดอาลัยก็ดี หรือจะช่วยคุ้มให้แก่ญาติโยมพวกพ้องด้วยเลศนัย อุบายให้ผู้เรียกเข้าใจว่าเป็นของพระสงฆ์ก็ดี เหล่านี้เรียกว่าสุงกฆาตะ จัดเป็นอทินนาทานเหมือนกัน

อนึ่ง ของที่ทายกจะให้ด้วยสลาก เมื่อจับถูกชื่อวัตถุสิ่งของที่ตน ไม่ชอบใจ ซ่อนทิ้งสลากนั้นเสีย แล้วจับใหม่ ก็ไม่ทดแทนทอนราคากันลงได้ คงปลงอวหาร ตามราคาสลากที่จับใหม่นั้นเอง แม้สลากภัต ที่ปักชื่อภิกษุรูปอื่นแล้ว แลชักธงชื่อท่านเสีย แลปักธงชื่อของตนหรือธงชื่อพระภิกษุพวกของตัวลง ก็เป็นอทินนาทานเช่นเดียว

อนึ่ง ภิกษุเบียดเสียดปักที่แดนดินที่มีเจ้าของหวงแหน ให้ล่วงล้ำเข้าไปในเขตแดนของท่าน แม้ประมาณเส้นผมหนึ่ง ก็เป็นอทินนาทาน

ภิกษุให้ประโยชน์ของท่านตกไป ด้วยอาการดังว่ามานี้ พอครบราคาสองสลึงเฟื้องกับห้ากล้ำเมื่อใด ก็เป็นปาราชิกเมื่อนั้น

๓. มนุสสวิคคหสิกขาบทที่สาม

พุทธบัญญัติห้ามมิให้ฆ่ามนุษย์ในครรภ์ นอกครรภ์ ภิกษุรูปใดรู้ว่ามนุษย์มีชีวิตคิดแกล้งจะฆ่าให้ตายด้วยอุบายต่าง ๆ จำเดิมแต่ประกอบยาให้หญิงมีครรภ์กิน ให้ครรภ์คือสัตว์ที่เกิดในท้องมารดา ตั้งแต่แรกตั้งปฐมวิญญาณให้ตกไป ฆ่าด้วยมือตนก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นฆ่าก็ดี หรือวางศัสตราวุธไว้ใกล้ เพื่อจะให้เขาฆ่ากันตายก็ดี หรือแกล้งพรรณนาคุณความตายให้เขาเกลียด หน่ายร่างกาย ไม่เสียดายชีวิต ฆ่าตัวตายเสียก็ดี หรือชักชวนให้ถือเอาถ้อยคำของตนว่า ท่านอยู่ทนทุกข์ลำบากไปต้องการอะไร ตายเสียดีกว่าอยู่ดังนี้

ถ้าเขาฆ่าตัวตายตามคำก็ดี หรือแกล้งหลอกหลอนให้เขาตกใจตายก็ดี เมื่อคิดจะให้มนุษย์ตายแกล้งประกอบอุบายต่าง ๆ สมตามความคิดของตนได้แล้ว ชื่อว่าเป็นอันฆ่ามนุษย์ตายทั้งสิ้น ภิกษุแกล้งให้มนุษย์ตายตัวยอุบายต่าง ๆ ดังว่ามานี้ ภิกษุนั้นเป็นปาราชิก

๔. อุตตริมนุสสธรรมสิกขาบทที่สี่

พระพุทธบัญญัติห้ามมิให้อ้างอวดอุตตริมนุสสธรรม ที่ไม่มีในตน ภิกษุรูปใดไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ ไม่ถึง ไม่ได้ตรัสรู้ แต่เป็นคนใจบาป อยากจะได้ลาภสักการะ จะให้มีผู้สรรเสริญเลื่องลือชื่อคุณ กล่าวอวดซึ่งธรรมของมนุษย์ผู้ยิ่งด้วยคุณทางมหรคตแลโลกุตตระ ให้น้อมเข้ามาสู่ตน คือความรู้เห็นด้วยปัญญาอันอาจกำจัดกิเลส คืออวดว่า “ข้าได้ถึงฌาน(๑) ถึงวิโมกข์(๑) ข้าได้ถึงสมาธิสมาบัติ(๑) ข้าได้บรรลุไตรวิชชา(๑) มรรคภาวนา ข้าทำให้แจ้งอริยผล ข้าละกิเลสเสียได้ จิตของข้าปลดเปลื้องจากราคะ โทสะ โมหะ ข้ายินดีจะอยู่ในเรือนว่างเปล่าเป็นที่สงัด พอใจพักอยู่ด้วยฌาน ข้าได้ฤทธิ์จะทำอะไรก็สำเร็จด้วยใจ รู้ใจสัตว์ ระลึกชาติได้ ข้าได้ตาทิพย์ หูทิพย์ เป็นผู้สิ้นกิเลส อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตนให้มนุษย์เชื่อถือ แม้จะใช้เล่ห์อุบายเปรียบปรายแสดงกายวิการเป็นเลศกระหยิบตา พยักหน้าเป็นต้น ให้สังเกตสำคัญตนว่าได้คุณวิเศษดังว่ามานี้ก็ดี เมื่อมนุษย์เชื่อถือตามความคิดของตนในขณะนั้นแล้ว ภิกษุนั้นเป็นปาราชิก

แม้กล่าวมุสาว่า “ข้านั่งธรรมเข้าบำเพ็ญ ได้เห็นสวรรค์หรือนรก เห็นผู้มีชื่อคนนั้น ๆ ไปบังเกิดบนสวรรค์ มีสมบัติอย่างนั้น หรือผู้มีชื่อคนนั้น ๆ ไปบังเกิดในนรก เปรต อสุรกาย ทนทุกขเวทนาอย่างนั้น ๆ คำอวดอ้างนั่งภาวนาเช่นนี้ เพื่อเข้าในมหรคตและอภิญญา เห็นว่าเป็นอันไม่ พ้นอวดอุตตริมนุสสธรรม คนที่เขลา ๆ ก็เชื่อง่าย ๆ

📝 หมายเหตุ

สิกขาบทในข้อ ๔ นี้ จะมีเว้นไว้ก็ต่อเมื่อสำคัญตนว่าได้ ว่าถึงโลกุตระจริงๆ ก็ไม่มีโทษถึงขั้นปาราชิก เพราะเจตนา ไม่แกล้งอวด

ท่านผู้รักใคร่ในสิกขาจงระวังรักษาตัวให้จงดี เทอญ

ปาราชิก ๔ นี้ ภิกษุต้องแต่อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ชื่อว่าเป็นบุคคลพ่ายแพ้แก่พระพุทธศาสนา

ไม่ได้อยู่ร่วมกิจกรรมกับด้วยภิกษุต่อไปได้อีกแล้ว ถึงจะปฏิญาณตนและอุปสมบทใหม่ก็ไม่เป็นภิกษุได้อีก ตายแล้วเที่ยงแท้ที่จะไปบังเกิดในอบายเป็นแน่นอน อย่าสงสัยเลย ให้ผู้อุปสมบทจึงรักษาตัวให้จงดี อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้บวชในพระพุทธศาสนา

ปาราชิก ๔ ข้อนี้ กล่าวความพอเป็นที่กำหนดไว้เท่านี้