ศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ อ. ประณีต ก้องสมุทร

 เตสํ สมฺปนฺนสีสานํ   อปฺปมาทวิหารินํ
สมฺมทญฺญา วิมุตฺตานํ   มาโร มคฺคํ น วินฺทติ.
มารค้นหาอยู่ ย่อมไม่พบทางของท่านผู้มีศีลสมบูรณ์
อยู่ด้วยความไม่ประมาท หลุดพ้น เพราะรู้ชอบ

ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท

ในฤดูที่ดอกไม้บาน เป็นฤดูที่ยังความรื่นรมย์ให้แก่มนุษย์และสัตว์ ดอกไม้หลากชนิด หลายสีบานสะพรั่ง อวดสีและกลิ่นอยู่บนต้น บางอย่างหอมมาก บางอย่างหอมน้อย บางอย่างไม่หอมเลย บางอย่างสวยทั้งสีและกลิ่น บางอย่างสีสวยแต่ไม่มีกลิ่น บางอย่างไม่สวยทั้งสีและกลิ่น บางอย่างหอมชั่วเวลาเช้า บางอย่างหอมตอนสาย บางอย่างหอมเวลาบ่าย บางอย่างหอมเวลาเย็น บางอย่างหอมเฉพาะกลางคืน บางอย่างหอมทั้งวันทั้งคืน แต่บางอย่างก็หอมทนอยู่ได้หลายวัน ถึงกระนั้นเมื่อเหี่ยวแห้งร่วงโรยแล้วก็หมดหอม ไม่มีดอกไม้ชนิดใดเลยที่จะหอมอยู่เป็นนิจทั้งในเวลาบานและโรยหล่น แม้เมื่อเวลาบานอยู่ ถูกลมพัดร่วงพรูจากต้น ลงประดับพื้นดินจะยังมองดูงามแปลกตาและกลิ่นของมันยังหอมกรุ่น เป็นที่ชื่นชอบของผู้พบเห็น แต่เมื่อมันเหี่ยวแห้งอับเฉา ก็ไม่เป็นที่ต้องการของผู้ใด

แต่คนมีศีลมิได้เป็นเช่นนั้น คนมีศีลนั้นหอมอยู่เสมอ หอมทั้งตามลมและทวนลม หอมทั้งในเวลามีชีวิตอยู่ และละโลกนี้ไปแล้ว เป็นที่ชื่นชมรักใคร่ของคนทั่วไปในเวลาที่มีชีวิต เป็นที่เสียดายอาลัยรัก และกล่าวขวัญสรรเสริญถึงในเวลาที่ตายไป ทั้งนี้เพราะตลอดเวลาที่มีชีวิต คนมีศีลไม่มีพิษมีภัยต่อผู้ใด มีกิริยาวาจาละมุนละไมน่ารัก ไม่ฆ่าตี ข่มเหง เบียดเบียน ทำร้ายใคร ทั้งด้วยกายและวาจา ประกอบด้วยความเมตตากรุณาแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่เป็นนิจ

พวงมาลัยดอกไม้หอมที่นายช่างบรรจงร้อยไว้อย่างมีระเบียบ ย่อมงดงามน่าดู ควรค่าแก่การเป็นเครื่องสักการะฉันใด คนที่มีกิริยาวาจานุ่มนวลเรียบร้อย งดงาม ก็ควรค่าแก่ความเคารพนับถือยกย่องฉันนั้น ด้วยเหตุนั้น พระสีลวเถระองค์อรหันต์ ผู้สาวกของพระพุทธเจ้า จึงสรรเสริญศีลว่า ศีลเป็นอาภรณ์คือเครื่องประดับอันประเสริฐ เพชรนิลจินดาและอาภรณ์อันมีค่า มิใช่เครื่องประดับอันประเสริฐ เพราะไม่อาจทำกาย วาจา ใจ ของผู้ประดับให้งดงามได้ คนมีศีลเป็นเครื่องประดับ จึงงดงามทุกเมื่อ

🙏 ก็ศีลนั้นคืออะไร ทำอย่างไรจึงจะชื่อว่าเป็นคนมีศีล ?

ศีล คือความไม่ล่วงละเมิดของผู้มีเจตนาความตั้งใจงดเว้นจากความชั่วทางกาย วาจา และอาจตลอดไปถึงใจด้วย บางคนอาจจะไม่ล่วงละเมิดเพราะตั้งใจไว้ก่อน เช่นตั้งใจว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ ก็ไม่ฆ่า ตามที่ตั้งใจไว้ แต่บางคนก็ไม่ล่วงละเมิดโดยที่มิได้ตั้งใจไว้ก่อน ต่อเมื่อมีเหตุที่จะให้ล่วงละเมิดเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ก็คิดงดเว้นไม่ล่วงละเมิดได้เอง เช่นเห็นงูพิษเลื้อยเข้ามาในบ้าน รู้ว่าเป็นงูพิษ ถ้ากัดใครเข้าอาจถึงตายได้ จึงหยิบไม้ขึ้นมาหมายจะตีงูให้ตาย แต่แล้วเกิดเมตตาสงสารว่า งูมันก็มีชีวิตเช่นเดียวกับเรา มันคงกลัวเจ็บกลัวตายเหมือนเรา อย่าทำมันเลย แล้วก็โยนไม้ทิ้ง ไล่งูให้ออกไปเสียจากบ้าน การกระทำเช่นนี้ก็เป็นศีล แต่เป็นศีลที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า โดยมิได้มีเจตนาคิดจะงดเว้นมาก่อน ศีลจึงเป็นเครื่องขัดเกลากายวาจา รวมไปถึงใจให้สะอาด เป็นเครื่องขัดเกลากิเลสอย่างหยาบที่จะล่วงออกมาทางกาย ทางวาจา มีการตี การด่าเป็นต้น

ศีลนั้นแม้จะมีความหมายหลายอย่าง แต่โดยทั่วไปมักแปลกันว่า ปกติ คือปกติของกาย ของวาจา ซึ่งโดยปกติจะสงบ ไม่รุกราน ไม่เบียดเบียนทำร้ายใคร แต่เมื่อละปกติคือผิดปกติก็ไม่สงบ รุกราน เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น ด้วยอำนาจของจิตใจที่ผิดปกติ เพราะโลภะ โทสะและโมหะ เพราะเหตุที่ ศีล มีความหมายว่า ปกติ คือปกติของกาย วาจา ใจ ศีลจึงมี* ๓ อย่าง คือ กุศลศีล อกุศลศีลและอัพยากตศีล (*ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ญาณกถา ข้อ ๘๙)

ปกติของกาย วาจา ใจ ที่เป็นกุศล มีกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า กุศลศีล
ปกติของกาย วาจา ใจ ที่เป็นอกุศล มีอกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า อกุศลศีล
ปกติของกาย วาจา ใจ ที่มิใช่กุศลและอกุศล มิได้มีกุศลจิต หรืออกุศลจิตเป็นเหตุให้เกิด หากมีอัพยากตจิต คือกิริยาจิตเป็นเหตุให้เกิด ชื่อว่า อัพยากตศีล

ปาปชน มีอกุศลศีลเป็นส่วนมาก มีกุศลศีลเป็นส่วนน้อย
กัลยาณชน มีกุศลศีลเป็นส่วนมาก มีอกุศลศีลเป็นส่วนน้อย

พระอริยบุคคลที่ยังเป็นเสกขบุคคล ๓ จำพวก คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี มีกุศลศีลเพียงอย่างเดียว เพราะท่านเป็นผู้มีศีลบริบูรณ์แล้ว พระอริยบุคคลที่เป็นอเสกขบุคคล คือพระอรหันต์มีอัพยากตศีลเพียงอย่างเดียว

ในกิมัตถิยสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ข้อ ๑ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงอานิสงส์ของศีลที่เป็นกุศล คือกุศลศีล ที่มีกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน แก่ท่านพระอานนท์ไว้ ๑๐ ประการ คือ

  • ๑. ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสาร คือความไม่เดือดร้อนใจเป็นผล เป็นอานิสงส์
  • ๒. ความไม่เดือดร้อนใจ มีความปราโมทย์เป็นผล เป็นอานิสงส์
  • ๓. ความปราโมทย์ มีปีติเป็นผล เป็นอานิสงส์
  • ๔. ปีติ มีปัสสัทธิ คือความสงบใจเป็นผล เป็นอานิสงส์
  • ๕. ปัสสัทธิ มีสุข คือความสุขใจเป็นผล เป็นอานิสงส์
  • ๖. สุข มีสมาธิเป็นผล เป็นอานิสงส์
  • ๗. สมาธิ มียถาภูตญาณทัสสนะ คือความเห็นด้วยญาณตามความเป็นจริงเป็นผล เป็นอานิสงส์
  • ๘. ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาวิราคะ คือความหน่ายความคลายเป็นผล เป็นอานิสงส์
  • ๙. นิพพิทาวิราคะ มีวิมุตติญาณทัสสนะ คือความเห็นด้วยญาณเป็นเครื่องหลุดพ้นเป็นผลเป็นอานิสงส์
  • ๑๐. ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหัตโดยลำดับ ด้วยประการฉะนี้

เพราะฉะนั้น โลกียศีลจึงเป็นบันไดให้เข้าถึงโลกุตตรศีล เข้าถึงอธิศีลสิกขา เป็นอริยศีลได้ในที่สุด มนุษย์นั้นมีมากมายหลายประเภท สวยมาก สวยน้อย ดีมาก ดีน้อย บางคนทั้งสวยทั้งดี บางคนไม่สวยด้วยไม่ดีด้วย บางคนเรียบร้อย บางคนหยาบคาย บางคนอ่อนโยน บางคนดุร้าย

บางคนมีศีล บางคนไม่มีศีล สุดแท้แต่กรรมจะจำแนกให้เป็นไป ในจำนวนคนมากมายหลายประเภทเหล่านี้ คนมีศีลเป็นคนประเสริฐ ยิ่งมีศีลด้วย สวยด้วย ยิ่งประเสริฐสุด เหมือนดอกไม้ที่สวยทั้งสีและกลิ่น ส่วนคนสวยที่ไม่มีศีลนั้น ก็เหมือนดอกไม้ที่สวยแต่สี หามีกลิ่นไม่ คนเราจะมีศีลได้ก็เพราะมีหิริและโอตตัปปะ คือความละอายและเกรงกลัวบาป ทั้งบาปของตนและคนอื่น โดยอาศัยการมีสติเตือนตนว่า "เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ ไม่ควรกระทำความชั่ว" ดังนี้เป็นต้น หรือเพราะเกรงคำครหาของผู้อื่นว่า "ผู้นี้เป็นถึงสาวกของพระพุทธเจ้าทำไมจึงประพฤติชั่วอย่างนี้" ดังนี้เป็นต้น เมื่อมีสติคิดได้อย่างนี้ จิตใจก็อ่อนโยน ไม่กล้าทำความชั่ว เมื่อไม่ทำความชั่วก็ไม่เดือดร้อน ศีลจึงมีความไม่เดือดร้อนเป็นผล เป็นอานิสงส์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค ว่า ผู้มีศีลย่อมได้รับอานิสงส์ ๕ ประการ คือ

  • ๑. ย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ (ดังที่พระท่านแสดงอานิสงส์ของศีลในเวลาให้ศีลว่า สีเลน โภคสมฺปทา)
  • ๒. เกียรติศัพท์อันงามของผู้มีศีล ย่อมฟุ้งขจรไปไกล
  • ๓. ผู้มีศีลเข้าไปสู่สมาคมใดๆ ย่อมเข้าไปอย่างองอาจไม่เก้อเขิน
  • ๔. ผู้มีศีลย่อมไม่หลงทำกาละ (คือไม่หลงในเวลาตาย)
  • ๕. ผู้มีศีล ตายแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ (สีเลน สุคตึ ยนฺติ)

นอกจากนั้นพระพุทธองค์ยังทรงแสดงไว้ด้วยว่า ผู้ที่หวังได้รับความรักใคร่ สรรเสริญจากบัณฑิตทั้งหลาย ควรทำศีลให้บริบูรณ์

🙏 ศีลเป็นที่พึ่งของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระศาสนา

- ศีลเป็นเสมือนน้ำที่ล้างมลทิน คือความชั่วของสัตว์ทั้งหลาย อันน้ำในแม่น้ำทั้งหลายไม่อาจล้างได้
- ศีล ยังผู้รักษาให้สงบเย็น ไม่ร้อนรุ่มด้วยกิเลส 
- กลิ่นใดที่ฟุ้งไปได้ทั้งทวนลม และตามลม กลิ่นนั้นเสมอด้วยกลิ่นศีลไม่มี
- บันไดที่จะขึ้นสู่สวรรค์และบรรลุนิพพาน (สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ) ที่จะเสมอด้วยบันไดคือศีลหามีไม่
- บุคคลแม้จะงดงามด้วยเครื่องประดับอันมีค่า ก็ยังไม่งามเท่าบุคคลที่มีศีลประดับกาย วาจา ใจ
- ผู้มีศีล ย่อมติเตียนตนเองไม่ได้ เมื่อพิจารณาถึงความประพฤติของตน ย่อมเกิดปีติทุกเมื่อ

เพราะศีลมีอานิสงส์มากมายดังกล่าว ศีลจึงเป็นรากฐานแห่งคุณความดีทั้งหลาย และกำจัดความชั่วทั้งปวงศีลยังมีระดับสูงต่ำตามเจตนาของผู้รักษา ถึง* 3 ระดับคือ (* ในวิสุทธิมัคกล่าวหลายนัย ในที่นี้ยกมาเพียงนัยเดียว)

- ศีลที่บุคคลสมาทานรักษา เพื่อต้องการภวสมบัติและโภคสมบัติ ด้วยอำนาจตัณหา ความต้องการชื่อว่า หีนศีล ศีลอย่างต่ำ
- ศีลที่บุคคลสมาทานรักษา เพื่อต้องการให้ตนเองหลุดพ้นจากกิเลส ชื่อว่า มัชฌิมศีลศีลอย่างกลาง
- ศีลที่พระโพธิสัตว์รักษา เพื่อต้องการให้สัตว์ทั้งหลายหลุดพ้นจากกิเลส ชื่อว่า ปณีตศีล ศีลอย่างประณีต

🙏 ศีลมีทั้งศีลของบรรพชิต และศีลของคฤหัสถ์

- ศีลของบรรพชิต แบ่งเป็นสอง คือ ศีลของภิกษุมี ๒๒๗ ศีลของสามเณรมี ๑๐
- ศีลของคฤหัสถ์ ได้แก่ศีล ๕ ศีล ๘ และศีลอุโบสถ

สำหรับบรรพชิตนั้น ท่านไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใครอยู่แล้ว เพราะอยู่ในกรอบของศีลที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ แต่คฤหัสถ์ที่ปราศจากศีล ๕ อาจเป็นพิษเป็นภัยแก่ตนเองและผู้อื่นด้วย ในที่นี้จึงขอกล่าวถึงศีลที่คฤหัสถ์ควรรักษาเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง และเพื่อความสงบสุขของสังคม เพียงแต่ทุกคนพากันรักษาศีล ๕ ข้อเท่านั้น ชาวโลกก็จะอยู่ร่วมกันเป็นปกติสุข

ศีล ๕ ข้อ คือ

  • ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี  งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
  • ๒. อทินนาทานา เวรมณี  งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้
  • ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี  งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
  • ๔. มุสาวาทา เวรมณี  งดเว้นจากการกล่าวเท็จ
  • ๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี  งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

เพียงรู้จักว่าศีล ๕ ข้อมีอะไรบ้างเท่านั้น ยังไม่พอ ผู้รักษายังต้องรู้เลยไปถึงว่า ท่านวางกฎเกณฑ์ไว้อย่างไรในการวินิจฉัยว่าทำอย่างไรแค่ไหนจึงล่วงศีล คือศีลขาด โดยใช้กฎเกณฑ์ในการวินิจฉัยที่ท่านเรียกว่า องค์ของศีล เป็นเครื่องตัดสิน ถ้าครบองค์ของศีลข้อนั้นๆ ศีลข้อนั้นก็ขาด ถ้าไม่ครบองค์ที่วางไว้ ขาดไปหนึ่งหรือสองข้อ ถือว่าศีลไม่ขาด แต่ศีลก็เศร้าหมอง องค์ของศีลที่ท่านวางไว้จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้สำรวมระวังไม่ประมาท

ศีลข้อ ๑ มีองค์ ๕ คือ 
    ๑. *ปาโณ  สัตว์มีชีวิต (* อรรถกถาบางแห่งใช้ว่า ปรปาโณ คือสัตว์อื่นที่มีชีวิต มิได้หมายถึงตัวเอง เพราะฉะนั้นการฆ่าตัวเองจึงไม่ล่วงกรรมบถ เพราะไม่ครบองค์ของศีลข้อนี้)
    ๒. ปาณสญฺญิตา  รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
    ๓. วธกจิตฺตํ  จิตคิดจะฆ่า
    ๔. อุปกฺกโม  เพียรเพื่อจะฆ่า
    ๕. เตน มรณํ  สัตว์ตายด้วยความเพียรนั้น

ถ้าครบองค์ ๕ ศีลข้อ ๑ ก็ขาด ถ้าไม่ครบ ๕ ข้อ ศีลไม่ขาด แต่ก็เศร้าหมอง ทษของศีลข้อ ๑ นี้ อย่างหนักทำให้ไปเกิดในอบาย เป็นสัตว์นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน อย่างเบาทำให้อายุสั้นเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ถึงกระนั้นโทษของการล่วงศีลข้อนี้ ก็หนักเบาต่างกันด้วยร่างกายของสัตว์ ๑ ด้วยคุณของสัตว์ ๑ ด้วยเจตนา ๑ และด้วยความพยายาม ๑ กล่าวคือ ถ้าฆ่าสัตว์ใหญ่ โทษก็มาก  ถ้าฆ่าสัตว์เล็ก โทษก็น้อย ถ้าฆ่าสัตว์มีคุณมาก โทษก็หนักมาก  ถ้าฆ่าสัตว์มีคุณน้อย โทษก็น้อยลดหลั่นกันลงไป ถ้าเจตนาคือความจงใจแรง โทษก็แรง  ถ้าเจตนาคือความจงใจอ่อน โทษก็น้อย ความพยายามมากโทษก็มาก  ความพยายามน้อยโทษก็น้อย แต่อย่าได้คิดว่าเมื่อท่านฆ่าสัตว์เล็ก ทั้งมีคุณน้อย มีความจงใจอ่อน และมีความพยายามน้อยโทษก็น้อย คงจะไม่น่ากลัว อย่าลืมว่า บาปอกุศลนั้นถึงแม้จะเล็กน้อยก็ไม่ควรทำ เพราะเมื่อสำเร็จเป็นกรรมแล้ว ย่อมพาไปอบายได้เช่นเดียวกับโทษหนักเหมือนกัน เพียงแต่ว่าอาจไปอยู่ในอบายชั่วระยะเวลาอันสั้น ไม่ยาวนานเหมือนโทษหนัก เพราะฉะนั้นจึงควรสังวรระวังไม่ประมาทแม้โทษเพียงเล็กน้อย

ในอรรถกถาวัมมิกสูตร มัช. มู. เล่าถึงพวกโจรที่ฆ่าอุบาสกที่เป็นพระอนาคามีว่าทำให้ตาบอดทันที เพราะผู้ถูกฆ่าเป็นสัตว์ใหญ่ มีคุณธรรมสูง เจตนาของโจรก็แรง ผลจึงเกิดขึ้นในปัจจุบันทันที ยังไม่ต้องกล่าวถึงโทษที่จะเกิดในอนาคตว่าจะร้ายแรงแค่ไหน

ศีลข้อ ๒ มีองค์ ๕ คือ
    ๑. ปรปริคฺคหิตํ  ของมีเจ้าของหวงแหน
    ๒. ปรปริคฺคหิตสญฺญิตา  รู้ว่ามีเจ้าของหวงแหน
    ๓. เถยฺยจิตฺตํ  จิตคิดจะลัก (ทั้งโดยคิดลักเองหรือใช้ให้ผู้อื่นลักแทน)
    ๔. อุปกฺกโม  เพียรเพื่อจะลัก
    ๕. เตน หรณํ  นำของมาด้วยความเพียรนั้น

ถ้าครบองค์ ๕ ศีลข้อสองนี้ก็ขาด โทษของศีลข้อสองนี้อย่างหนักทำให้ไปเกิดในอบายเช่นเดียวกับศีลข้อ ๑ อย่างเบาทำให้ทรัพย์สมบัติพินาศไปเมื่อเกิดเป็นมนุษย์

ศีลข้อ ๓ มีองค์ ๔ คือ
๑. อคมนียวตฺถุ วัตถุที่ไม่ควรถึง (คือชายหรือหญิงที่มีเจ้าของ หรือมีผู้คุ้มครองดูแลรักษา)
๒. ตสฺมึ เสวนจิตตํ  จิตคิดจะเสพในวัตถุนั้น
๓. เสวนปฺปโยโค  พยายามที่จะเสพ
๔. มคฺเคน มคฺคปฺปฏิปตฺติ อธิวาสนํ  ทำมรรคต่อมรรคให้ถึงกัน

ถ้าครบองค์ ๔ ที่วางไว้ ศีลข้อ ๓ นี้ก็ขาด ศีลข้อนี้ขึ้นอยู่กับเจตนา และคุณของผู้ถูกล่วงด้วย กล่าวคือ ถ้าจงใจมากโทษก็หนัก ถ้าจงใจน้อยโทษก็น้อย ถ้าผู้ถูกล่วงเป็นผู้มีศีลโทษก็หนัก เช่นในสมัยพุทธกาล นันทมาณพล่วงเกินนางอุบลวรรณาอรหันตเถรี โทษถึงธรณีสูบก่อนแล้วจึงตกนรกอเวจี โทษของศีลข้อ ๓ นี้ อย่างหนักทำให้เกิดในอบาย อย่างเบาทำให้มีศัตรู คู่เวร เมื่อเกิดเป็นมนุษย์  (ในชาดกแสดงว่าทำให้เกิดเป็นกระเทย หรือเมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือมนุษย์แล้วต้องถูกตอน)



ศีลข้อ ๔ มีองค์ ๔ คือ
๑. อตถํ วตฺถุ  เรื่องไม่จริง
๒. วิสํวาทนจิตฺตํ  จิตคิดจะพูดให้ผิด
๓. ตชฺโช วายาโม  พยายามพูดออกไป
๔. ปรสฺส ตทตฺถวิชานนํ  คนอื่นเข้าใจเนื้อความนั้น

ถ้าครบองค์ ๔ ที่วางไว้ ศีลข้อ ๔ ก็ขาด โทษของศีลข้อ ๔ นี้ อย่างหนักทำให้เกิดในอบาย อย่างเบาทำให้ถูกกล่าวตู่ด้วยคำที่ไม่เป็นจริงในเมื่อเกิดเป็นมนุษย์

ศีลข้อ ๕ มีองค์ ๔ คือ
๑. มทนียํ  ของทำให้เมามีสุราเป็นต้น
๒. ปาตุกมฺยตาจิตฺตํ  จิตใคร่จะดื่ม
๓. ตชฺโช วายาโม  พยายามดื่ม
๔. ปีตปฺปเวสนํ  ดื่มให้ไหลล่วงลำคอเข้าไป

ถ้าครบองค์ ๔ ที่วางไว้ ศีลข้อที่ ๕ ก็ขาด * โทษของศีลข้อ ๕ นี้ อย่างหนักทำให้เกิดในอบาย อย่างเบาทำให้เป็นบ้า ขาดสติ ในเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ (* โทษของศีลทั้ง ๕ ข้อจากสัพพลหุสสูตร อัง. อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๓๐)

ในปัจจุบันนี้มีสิ่งเสพติดที่มีโทษมากกว่าสุราและเมรัย เช่นกัญชา และยาเสพติดเป็นต้น แม้จะไม่จัดไว้แต่เดิม แต่ถ้าเสพแล้วก็สงเคราะห์เข้าว่าขาดศีลข้อ ๕ นี้เช่นกัน โดยอาศัยมหาประเทศ ๔ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวินัยเป็นเครื่องตัดสิน ศีลทั้ง ๕ ข้อนี้ เมื่อผู้ใดล่วงเข้า ถือว่าล่วงกรรมบถมีโทษมาก จัดเป็นเวร คือก่อให้เกิดผลร้ายทั้งในปัจจุบันและอนาคต เช่นเมื่อล่วงศีลข้อ ๑ มีผลทำให้เกิดในอบาย หรือทำให้มีอายุสั้นเป็นต้น ทั้งเป็นโลกวัชชะ คือ มีโทษที่ชาวโลกควรเว้น กล่าวคือศีลทั้ง ๕ ข้อนี้ ถึงใครจะรักษาหรือไม่รักษาก็ตาม เมื่อประพฤติล่วงเข้าแล้ว ย่อมเกิดโทษแก่ผู้ล่วงนั้นทั้งสิ้น ทำให้ได้รับโทษเกิดในอบายเป็นต้น เพราะฉะนั้นจึงควรเว้นสิ่งที่มีเวรมีโทษเสีย

อนึ่ง ผู้ที่ไม่ฆ่าสัตว์ แต่ชอบเบียดเบียนสัตว์ให้เป็นทุกข์เดือดร้อน แม้ศีลข้อที่ ๑ ไม่ขาด แต่ก็ขาดธรรม คือเมตตากรุณา ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่จะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์หมดจดจริงๆ จึงต้องมีธรรมที่คู่กับศีลแต่ละข้อกำกับไว้ด้วย คือ
- ๑. เมตตากรุณา คู่กับศีลข้อที่ ๑ เมตตา นั้นได้แก่ ความปรารถนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุข ส่วนกรุณา นั้นปรารถนาจะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
- ๒. สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีวิตชอบ คู่กับศีลข้อที่ ๒ ในที่นี้หมายถึงการประกอบอาชีพที่สุจริตไม่ผิดศีลผิดธรรม เพื่อให้ได้ทรัพย์สินมาใช้สอยเลี้ยงดูตนเองและผู้ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน
- ๓. ความสำรวมในกาม คือยินดีเฉพาะคู่ครองของตน คู่กับศีลข้อที่ ๓
- ๔. ความมีสัจจะ คือพูดจริง ทำจริง คู่กับศีลข้อที่ ๔
- ๕. ความมีสติ สำรวมระวังไม่ประมาท คู่กับศีลข้อที่ ๕

ผู้มีทั้งศีลและธรรมคู่กันไป ย่อมเป็นผู้งามพร้อมไม่มีที่ติ เพราะฉะนั้น ศีล (ที่ประกอบด้วยธรรม) จึงเป็นอาภรณ์ หรือเครื่องประดับอันประเสริฐสำหรับมนุษย์

ผู้ที่ปรารถนา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ตลอดจนการเกิดในสุคติเป็นมนุษย์และเทวดา หรือปรารถนาจะไม่เกิด คือบรรลุนิพพาน ก็ต้องอาศัยศีล พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ความปรารถนาของผู้มีศีลเท่านั้นที่จะสำเร็จ หรือความสำเร็จผลสมความปรารถนาจะเกิดแก่ผู้มีศีลเท่านั้น ทุกคนปรารถนาของดีทั้งสิ้น ไม่มีใครปรารถนาของไม่ดี เมื่อปรารถนาของดีก็ต้องทำดี ผลที่ได้รับจึงจะดีตามการกระทำ แต่ถ้าปรารถนาของดีแล้วทำชั่ว ผลที่ได้รับก็ชั่วตามการกระทำ เมื่อได้รับผลชั่วมีการเกิดในอบายเป็นต้นแล้ว ความปรารถนาเหล่านั้นจะสำเร็จได้อย่างไร ผู้ที่ไม่ทำชั่วจึงต้องมีศีลเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกัน นอกจากนั้นพระพุทธองค์ยังตรัสว่า ศีล ๕ นี้เป็น มหาทาน* เป็นทานที่ยิ่งใหญ่ (*ปุญญาภิสันทสูตร อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๙) เพราะเป็นการให้ความไม่มีเวร ไม่มีภัยแก่สัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ กล่าวคือ

    การรักษาศีลข้อ ๑  คือการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ทั้งด้วยตนเองและใช้ให้ผู้อื่นฆ่าแทนตนเป็นการให้ชีวิตแก่สัตว์ทั้งปวง
    การรักษาศีลข้อ ๒  คืองดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของเขามิได้ให้ เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น
    การรักษาศีลข้อ ๓  คือการงดเว้นจากการประพฤติผิดในบุตร ภรรยา สามีของผู้อื่น เป็นการให้ความบริสุทธิ์แก่บุตร ภรรยา สามีของผู้อื่น
    การรักษาศีลข้อ ๔  คือการงดเว้นจากการพูดเท็จ เป็นการให้ความจริงแก่ผู้อื่น
    การรักษาศีลข้อ ๕  คือการงดเว้นจากการดื่มสุราเมรัย และสิ่งเสพติดอันเป็นโทษทุกชนิดเป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง คือให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสัตว์ ให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น ให้ความบริสุทธิ์แก่บุตร ภรรยา สามีของผู้อื่น ให้ความจริงแก่ผู้อื่น ทั้งนี้เพราะผู้ที่มึนเมาเพราะสุราเป็นต้น ย่อมขาดสติ สามารถทำความชั่วได้ถึงที่สุด คือฆ่าแม่ฆ่าพ่อก็ได้ เพราะฉะนั้นการงดเว้นจากการเสพสิ่งเสพติด มีโทษเหล่านี้จึงเป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง

ก็เมื่อเราได้ให้ความไม่มีเวร ไม่มีภัยแก่สัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้อย่างนี้แล้ว ย่อมได้รับความไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่ถูกเบียดเบียน หาประมาณมิได้เช่นกัน เพราะเราทำเหตุอย่างใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ ผู้ไม่มีปัจจัยจะบริจาคทาน จึงไม่ควรเสียใจ เพราะกุศลที่สูงกว่าทานที่ไม่ต้องอาศัยปัจจัยก็สามารถบำเพ็ญได้นั้นมีอยู่ กุศลนั้นคือ ศีลกุศล ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมหาทาน ล้ำเลิศกว่าทานธรรมดา ที่ต้องเสียสละของออกไปเสียอีก

🙏 ควรหรือไม่ที่จะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์

ดังได้กล่าวแล้วว่า ศีล ๕ เป็นศีลของคฤหัสถ์ ที่คฤหัสถ์ทั้งชายหญิงควรรักษาเป็นปกติ เป็นประจำตลอดชีวิต ถึงกระนั้น ศีลที่ยิ่งกว่าศีล ๕ ขัดเกลากิเลสได้ยิ่งกว่าศีล ๕ ที่คฤหัสถ์ควรรักษาตามโอกาสเป็นครั้งคราว ก็มีอยู่ ศีลที่กล่าวนี้คืออุโบสถศีล หรือศีลอุโบสถ ซึ่งคฤหัสถ์ชายหญิงบางท่านรักษาในวันอุโบสถ สมัยก่อนท่านกำหนดวันรักษาอุโบสถศีลไว้มากกว่าวันนี้ แต่ปัจจุบันเหลือวันรักษาอุโบสถศีลเพียงเดือนละ ๔ ครั้งในวันพระ คือในวันแรม ๘ ค่ำ แรม ๑๔ ค่ำหรือ ๑๕ ค่ำ ขึ้น ๘ ค่ำและขึ้น ๑๕ ค่ำ แต่บางท่านก็ประพฤติยิ่งกว่านั้น โดยอาศัยแนวที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาราชสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาตว่า อุโบสถมี ๓ อย่างคือ

- ๑. ปกติอุโบสถ คืออุโบสถที่รักษากันเฉพาะวันที่กำหนดไว้ ในปัจจุบันนี้กำหนดเอาวันพระ คือวัน ๘ ค่ำและ ๑๕ ค่ำ ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม
- ๒. ปฏิชาครอุโบสถ คืออุโบสถที่รักษากันครั้งละ ๓ วัน คือถือเอาวันที่กำหนดไว้ในปกติอุโบสถเป็นหลัก แล้วเพิ่มรักษาก่อนกำหนด ๑ วัน เรียกว่าวันรับ และหลังวันกำหนดอีก ๑ วัน เรียกว่าวันส่งเช่นวัน ๘ ค่ำเป็นวันรักษาปกติอุโบสถ ผู้ที่จะรักษาปฏิชาครอุโบสถ ก็เริ่มรักษาตั้งแต่วัน ๗ ค่ำไปสิ้นสุดเอาเมื่อสิ้นวัน ๙ ค่ำ คือรักษาในวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำและ ๙ ค่ำ รวม ๓ วัน ๓ คืน
- ๓. ปาฏิหาริยปักขอุโบสถ คืออุโบสถที่รักษากันเป็นประจำทุกวันตลอดพรรษา ๓ เดือนอย่างหนึ่ง ถ้าไม่อาจรักษาได้ตลอด ๓ เดือนก็รักษาให้ตลอด ๑ เดือน หลังจากออกพรรษาแล้ว คือรักษาในกฐินกาล ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ อย่างหนึ่ง ถ้ายังไม่อาจรักษาได้ตลอด ๑ เดือน ก็รักษาเพียงครั้งละครึ่งเดือนหลังจากออกพรรษาแล้ว คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ถึงสิ้นเดือน ๑๑ อีกอย่างหนึ่ง ทั้ง ๓ อย่างนี้เรียกว่า ปาฏิหาริยปักขอุโบสถ

ศีลอุโบสถนั้นเป็น ศีลรวม หรือ ศีลพวง คือมีองค์ประกอบถึง ๘ องค์ ถ้าขาดไปองค์ใดองค์หนึ่งก็ไม่เรียกว่า ศีลอุโบสถ ตามพุทธบัญญัติ เพราะฉะนั้นการล่วงศีลอุโบสถเพียงข้อใดข้อเดียว ก็ถือว่าขาดศีลอุโบสถ เพราะเหลือศีลไม่ครบองค์ของอุโบสถศีล พูดง่ายๆว่าขาดศีลองค์เดียว ขาดหมดทั้ง ๘ องค์ ผู้ที่รักษาอุโบสถศีลจึงต้องสำรวมระวังกาย วาจา เป็นพิเศษ

อุโบสถศีลที่ประกอบด้วยองค์ ๘ มีดังนี้
๑. ปาณาติปาตา เวรมณี  งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป
๒. อทินนาทานา เวรมณี  งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้
๓. อพรหมจริยา เวรมณี  งดเว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์
๔. มุสาวาทา เวรมณี  งดเว้นจากการกล่าวเท็จ
๕. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี  งดเว้นจากการดื่มสุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
๖. วิกาลโภชนา เวรมณี  งดเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล
๗. นัจจคีตวาทิตวิสูกทัสสนมาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนัฏฐานา เวรมณี งดเว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล ลูบทา ทัดทรงประดับตกแต่งร่างกายด้วยระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องย้อม เครื่องทาอันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว
๘. อุจจาสยนมหาสยนา เวรมณี  งดเว้นจากการนั่ง และการนอนบนที่นอนสูงใหญ่

อุโบสถศีลอันมีองค์ ๘ นี้ องค์ที่ ๑-๒-๔-๕ เหมือนศีลข้อ ๑-๒-๔-๕ ของศีล ๕ ที่แปลกกันคือข้อ ๓ ศีล ๕ นั้น ข้อ ๓ ให้เว้นจากการประพฤติผิดประเวณีในผู้ที่มิใช่คู่ของตน แต่ถ้าเป็นคู่ครองของตนแล้วไม่ห้าม แต่ศีลข้อ ๓ ของอุโบสถศีลนั้น ให้งดเว้นจากการเสพประเวณีโดยเด็ดขาดแม้ในคู่ครองของตนเอง จึงจะชื่อว่า พฺรหฺมจริยา คือประพฤติอย่างพรหม ส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือ ศีลข้อ ๖-๗-๘ อุโบสถศีลนั้นก็มีองค์ของศีลเป็นเครื่องวินิจฉัยว่า การกระทำเช่นไรจึงล่วงศีลไว้เช่นเดียวกับศีล ๕

สำหรับศีลข้อ ๑-๒-๔-๕ นั้นมีองค์เหมือนศีลข้อ ๑-๒-๔-๕ ของศีล ๕ ที่ได้กล่าวไปแล้ว สำหรับศีลข้อที่เหลือมีเครื่องวินิจฉัย ดังนี้

ศีลข้อ ๓ อพรหมจริยา เวรมณี มีองค์ ๔ คือ
๑. อชฺฌาจรณียวตฺถุ  วัตถุที่จะพึงประพฤติล่วง (คือมรรคทั้ง ๓)
๒. ตตฺถ เสวนจิตฺตํ  จิตคิดจะเสพในวัตถุที่จะพึงล่วงนั้น
๓. เสวนปฺปโยโค  พยายามเสพ
๔. สาทิยนํ  มีความยินดี

ศีลข้อ ๖ วิกาลโภชนา เวรมณี มีองค์ ๔ คือ
๑. วิกาโล  เวลาตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนอรุณขึ้น
๒. ยาวกาลิกํ  ของเคี้ยวของกินที่สงเคราะห์เข้าในอาหาร
๓. อชฺโฌหรณปฺปโยโค  พยายามกลืนกิน
๔. เตน อชฺโฌหรณํ  กลืนให้ล่วงลำคอเข้าไปด้วยความเพียรนั้น

สำหรับศีลข้อนี้ ควรทราบว่า เวลาตั้งแต่อรุณขึ้นไปจนถึงเที่ยง เรียกว่ากาล คือเป็นเวลาบริโภคอาหาร ตั้งแต่เที่ยงแล้วไปจนถึงอรุณขึ้น (ของวันใหม่) เรียกว่า วิกาล เป็นเวลาที่ต้องเว้นจากการบริโภค อาหารทุกชนิด เว้นน้ำธรรมดา และน้ำดื่ม ๘ อย่างที่เรียกว่า อัฏฐบาน ที่มีพุทธานุญาตไว้

    🔅 น้ำดื่ม ๘ อย่าง (อัฏฐบาน) นั้นคือ น้ำที่ทำจากผลมะม่วง ๑ ผลหว้า ๑ ผลกล้วยมีเมล็ด ๑ ผลกล้วยที่ไม่มีเมล็ด ๑ ผลมะทราง ๑ ผลจันทน์ หรือผลองุ่น ๑ เง่าบัว ๑ ผลมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑ ต่อมาทรงมีพุทธานุญาตน้ำผลไม้ทุกชนิด เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก น้ำใบไม้ทุกชนิด เว้นน้ำผักดอง น้ำดอกไม้ทุกชนิด เว้นน้ำดอกมะทราง และทรงอนุญาตน้ำอ้อยสด

อรรถกถาท่านสรุปว่า ในเวลาวิกาลดื่มน้ำผลไม้ได้ทุกชนิด เว้นผลไม้ที่มีผลโตกว่าผลมะตูม (บางแห่งว่าผลมะขวิด) วิธีทำนั้นก็ต้องคั้นเอาแต่น้ำ และกรองให้ไม่มีกาก และไม่ผ่านการสุกด้วยไฟ น้ำปานะดังกล่าวนี้เท่านั้นที่ผู้รักษาอุโบสถศีลควรดื่มในเวลาวิกาล นอกนี้ไม่ควร พึงสังเกตว่า ไม่มีน้ำนมสดทุกชนิด คือน้ำนมของสัตว์ หรือนมที่ทำจากพืชเช่นถั่วเป็นต้น

นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังทรงอนุญาตให้บริโภคเภสัช ๕ อย่างคือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย รวมทั้งงบน้ำอ้อย ในเวลาวิกาลได้ พระวินัยปิฎก มหาวรรค เภสัชชขันธกะ ข้อ ๘๖ และข้อ ๒๖ ตามลำดับ

ศีลข้อ ๗ แบ่งเป็น ๒ ตอน แต่ละตอนมีองค์โดยเฉพาะ ถ้ากระทำผิดศีลตอนใดตอนหนึ่งเพียงตอนเดียว ก็ถือว่าขาดหมดทั้งสองตอน ศีลข้อ ๗ ตอนแรก นัจจคีตวาทิตวิสูกทัสสนะ  เว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรีและดูการเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล มีองค์ ๓ คือ

๑. นจฺจาทีนิ  การเล่นมีฟ้อนรำขับร้องเป็นต้น
๒. ทสฺสนตฺถาย คมนํ  ไปเพื่อจะดูหรือฟัง
๓. ทสฺสนํ  ดูหรือฟัง

ศีลตอนแรกนี้ท่านห้ามทั้งเล่นเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นเล่นแล้วตนดูหรือฟัง ผู้รักษาอุโบสถศีลแล้วยังเปิดวิทยุฟังเพลง ฟังลิเกหรือมหรสพต่างๆ หรือเปิดโทรทัศน์แล้วหลบไปนั่งในที่ๆ มองไม่เห็นภาพ อาศัยฟังแต่เสียงการละเล่นต่างๆ มีละครเป็นต้นจากโทรทัศน์นั้น ย่อมไม่สมควรถือว่าผิดศีลข้อนี้ เพราะมีเจตนาชัดแจ้ง

หากมีผู้อื่นเขาเปิดดูหรือฟังอยู่ ผู้รักษาอุโบสถศีลเพียงแต่ผ่านไป ได้เห็นหรือได้ยินเข้า แล้วก็ผ่านเลยไปอย่างนี้ไม่ผิด แต่ไม่ใช่ว่าไม่ได้มีเจตนาจะดูหรือฟังมาก่อน แต่ผ่านไปเห็นหรือได้ยินเข้า แล้วเลยพลอยร่วมวงดูหรือฟังกับเขาด้วย อย่างนี้ก็ผิด

ปกติเราก็ดูก็ฟังกันอยู่ทักวันทุกคืน เราจะหยุดดูหยุดฟังกันสักวันหนึ่งคืนหนึ่ง ตามอย่างพระอรหันต์ท่าน มิได้เทียวหรือ ก็ในวินัยของพระอริยเจ้านั้น *การขับร้อง คือการร้องไห้ การฟ้อนรำ คือความเป็นบ้า การหัวเราะจนเห็นฟันพร่ำเพรื่อ คือความเป็นเด็ก (* โรณสูตร อัง. ติกนิบาต ข้อ ๕๔๗)

ศีลข้อ ๗ ตอนหลัง มาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนัฏฐานา เวรมณี  เว้นจากการลูบทาทัดทรง ประดับตกแต่งร่างกายด้วยระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องย้อม เครื่องทาอันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว มีองค์ ๓ คือ
๑. มาลาทีนํ อญฺญตรตา  เครื่องประดับตกแต่งมีดอกไม้และของหอมเป็นต้น
๒. อนุญฺญาตการณาภาโว  ไม่มีเหตุเจ็บไข้เป็นต้นที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต
๓. อลงฺกตภาโว  ทัดทรงประดับตกแต่งเป็นต้นด้วยจิตคิดจะประดับให้สวยงาม

ในข้อนี้มีข้อสังเกตคือ บางท่านก่อนไปวัดเพื่อสมาทานอุโบสถศีล ก็ตกแต่งร่างกาย ทาหน้า ทาปากเป็นต้นอย่างสวยงามเสียก่อน เพราะคิดว่าได้กระทำก่อนสมาทานศีล จึงไม่ผิด แต่เจตนาในการกระทำเพื่อให้สวยงามมีอยู่จึงถือว่าผิด เพราะผู้ที่จะรักษาอุโบสถศีลนั้น ต้องตั้งเจตนาที่จะรักษาไว้ตั้งแต่รุ่งเช้าแล้วว่า จะรักษาอุโบสถศีลตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่ง

คำว่า วันหนึ่งคืนหนึ่งนั้น ท่านกำหนดนับตั้งแต่อรุณขึ้นของวันที่รักษาไปจนถึงอรุณขึ้นของวันใหม่ ถ้าน้อยกว่ากำหนดนี้ก็ไม่ชื่อว่าวันหนึ่งคืนหนึ่ง ผู้รักษาอุโบสถควรระลึกถึงข้อนี้ด้วย

ศีลข้อ ๘ อุจฺจาสยนมหาสยนา เวรมณี  งดเว้นจากการนั่งและการนอนบนที่นอนสูงใหญ่ มีองค์ ๓ คือ
๑. อุจฺจาสยนมหาสยนํ  ที่นั่งที่นอนสูงใหญ่
๒. อุจฺจสยนมหาสยนสญฺญิตา  รู้ว่าที่นั่งที่นอนสูงใหญ่
๓. อภิสีทนํ วา อภิปชฺชนํ วา  นั่งหรือนอนลง

คำว่า ที่นั่งและที่นอนสูงใหญ่ ในศีลข้อนี้ ท่านหมายเอาที่นั่งและที่นอนที่สูงใหญ่เกินประมาณ ที่ประดับตกแต่งด้วยเครื่องปูลาดที่วิจิตรงดงาม รวมไปถึงที่นอนที่ยัดด้วยนุ่มและสำลีด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อมิให้ยินดีติดใจในความงามและสัมผัสที่อ่อนนุ่มสบายของที่นั่งที่นอนเหล่านั้น

อุโบสถศีลทั้ง ๔ ข้อที่แตกต่างและเพิ่มขึ้นจากศีล ๕ นั้นถ้าไม่พิจารณาให้ละเอียดแล้ว จะไม่เห็นว่าศีลทั้ง ๔ ข้อนี้เพิ่มความขัดเกลายิ่งขึ้น จึงไม่น่ายากแก่การรักษา แต่โดยที่แท้แล้วมิได้เป็นเช่นนั้น มิฉะนั้นแล้วก็คงจะไม่มีผู้รักษาอุโบสถศีลน้อยมากอย่างนี้ เมื่อเทียบกับจำนวนพลเมืองทั้งประเทศ

ก็ปกติของคฤหัสถ์นั้น ยังยินดีติดใจในการการเสพประเวณี ในการบริโภคจนเกินประมาณ ในการตกแต่งร่างกายให้สวยงาม ในการนอนสบาย แต่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ อุโบสถศีล ๔ ข้อนี้ขึ้น เพื่อขัดเกลาความยินดี ติดใจในสิ่งเหล่านี้ของคฤหัสถ์เป็นครั้งคราว เพียงชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่งเป็นอย่างต่ำ ๓ วันเป็นอย่างกลาง (ปฏิชาครอุโบสถ) ๓ เดือนตลอดพรรษาเป็นอย่างสูง (ปาฏิหาริยปักขอุโบสถ) มิได้ทรงบัญญัติให้รักษาจนตลอดชีวิตอย่างพระอรหันต์

เพราะฉะนั้น ผู้ที่รักษาอุโบสถศีลเพียงชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่งเพราะน้อมระลึกว่า "แม้เราจะรักษาอุโบสถศีลจนตลอดชีวิตอย่างพระอรหันต์ไม่ได้ ก็ขอดำเนินรอยตามท่านด้วยการรักษาอุโบสถศีล อันมีองค์ ๘ นี้ ชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่ง" เพียงเท่านี้ พระพุทธองค์ก็ยังตรัสว่า การรักษาอุโบสถศีลของผู้นั้นมีผลมากมีอานิสงส์มาก* แม้พระราชาผู้ทรงเป็นใหญ่ใน ๑๖ แคว้น ก็ยังไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ ของอุโบสถที่ประกอบด้วยองค์ ๘ เพราะศีลนั้นทำให้เกิดในสวรรค์ (* อุโปสถสูตร อัง. ติกนิบาต ข้อ ๕๑๐ วิสาขสูตร อัง. อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๓๓)

ก็สมบัติมหาศาลของพระราชาในเมืองมนุษย์นั้นเป็นของเล็กน้อยเปรียบเหมือนสมบัติของคนจน เมื่อเทียบกับสมบัติและความสุขอันเป็นทิพย์ในเทวโลก ที่ผู้รักษาอุโบสถศีลจะพึงได้รับเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว ทั้งนี้เพราะเทวดาผู้เกิดในสวรรค์ชั้นต่ำสุดคือ จาตุมมหาราชิกานั้นยังมีอายุยืนถึง ๕๐๐ ปีทิพย์ ซึ่งวันหนึ่งคืนหนึ่งของสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกานั้นเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ ลองคิดดูเองเถิดว่า ๕๐๐ ปีทิพย์นั้นจะเท่ากับกี่ปีมนุษย์ ยิ่งถ้าได้เกิดในสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไป อายุก็เพิ่มขึ้นจากชั้นต่ำเป็นทวีคูณ ชั้นปรนิมมิตวสวตีอันเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุด เทวดาในชั้นนี้อายุยืนถึง ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ (เทวโลกหรือสวรรค์นั้นมี ๖ ชั้น คือจาตุมมหาราชิกา ดาวดึงสา ยามา ดุสิตา นิมมานนรตี ปรนิมมิตวสวตี) อุโบสถศีลจึงมีผลมาก มีอานิสงส์มากอย่างนี้

ถึงกระนั้นพระพุทธองค์ก็มิได้ทรงสอนให้หลงใหลติดใจในสมบัติ และความสุขในโลกสวรรค์เพราะมิฉะนั้นแล้วพระองค์จะไม่ตรัสกับ นางวิสาขา มหาอุบาสิกาเลยว่าอุโบสถ* มี ๓ อย่าง คือ
- ๑. โคปาลกอุโบสถ  อุโบสถที่เปรียบเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค
- ๒. นิคัณฐอุโบสถ  อุโบสถของพวกนักบวชนิครนถ์
- ๓. อริยอุโบสถ  อุโบสถของพระอริยะ
(*อุโปสถสูตร อัง. ติกนิบาต ข้อ ๕๑๐)

บุคคลผู้รักษาอุโบสถเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโคนั้น เมื่อสมาทานอุโบสถศีลแล้ว ก็ปล่อยใจให้คิดแต่เรื่องราวของความโลภความต้องการ อยากได้สิ่งโน้นสิ่งนี้มาบำรุงบำเรอตน ไม่ได้คิดจะทำความดีอย่างอื่นให้เกิดขึ้นเลย ไม่ผิดอะไรกับคนที่รับจ้างเลี้ยงโคที่เมื่อถึงเวลาเช้าก็ไปรับโคมาเลี้ยง เวลาเย็นก็นำโคมาส่งเจ้าของแล้วรับเอาค่าจ้างไป กลับบ้านแล้วก็คิดแต่ว่าพรุ่งนี้จะพาโคไปกินหญ้า กินน้ำที่ไหน คนรับจ้างนั้นไม่เคยได้รับประโยชน์อะไรจากโคมีน้ำนมเป็นต้นเลย ผู้รักษาโคปาลกอุโบสถก็เช่นกัน ไม่ได้รับประโยชน์จากอุโบสถศีลที่ตนรักษาเลย การรักษาแบบ โคปาลกอุโบสถ จึงไม่มีผลมากไม่มีอานิสงส์ เพราะความตรึกไม่บริสุทธิ์

ส่วน นิคัณฐอุโบสถ นั้นเป็นอุโบสถของนักบวชนอกพระพุทธศาสนา ซึ่งแตกต่างจากการรักษาอุโบสถในพระพุทธศาสนา กล่าวคือในอุโบสถ พวกนักบวชนิครนถ์จะแนะนำชักชวนสาวกเป็นต้นว่า  ไม่ให้ฆ่าสัตว์ในที่ทั้ง ๔ ในที่เลยร้อยโยชน์ไป นอกจากนั้นมิได้ห้าม การแนะนำชักชวนสาวกอย่างนี้ ชื่อว่าห้ามการฆ่าสัตว์ในที่บางแห่ง ไม่ห้ามฆ่าสัตว์ในที่บางแห่ง เป็นการขาดความกรุณาเอ็นดูในสัตว์ บางพวก มิได้ให้ความเอ็นดูแก่สัตว์ทุกหมู่เหล่า อุโบสถของพวกนิครนถ์จึงไม่มีผลมาก

แต่ อริยอุโบสถ นั้นเป็นอุโบสถที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก เพราะผู้รักษามิได้ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านไปในความยินดีต้องการ หรือความเศร้าหมองใดๆ ด้วยอำนาจของกิเลส แต่มาพากเพียรระลึกถึงพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดจนระลึกถึงศีลที่บริสุทธิ์ไม่ด่างพร้อยของตน และระลึกถึงคุณธรรมของผู้ที่เกิดเป็นเทวดา ว่าเทวดาเหล่านั้นได้เกิดเป็นเทวดา เพราะประกอบด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญาเช่นใด แม้เราก็ประกอบด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญาเช่นนั้น เมื่อพากเพียรระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นต้น จิตย่อมผ่องใส ไม่เศร้าหมองเพราะกิเลส การรักษาอุโบสถโดยการไม่ปล่อยใจให้ตกไปในอำนาจของอกุศลแล้วมาเจริญกุศลอย่างนี้ ชื่อว่าอริยอุโบสถ อุโบสถจึงมีผลมาก เพราะจิตของผู้รักษาบริสุทธิ์ ไม่มีผลมากเพราะจิตเศร้าหมอง

บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว เจริญพุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลนั้นชื่อว่าเข้าจำ *พรหมอุโบสถ อยู่ร่วมกับพรหม และมีจิตผ่องใสเพราะปรารภพรหม (*อุโปสถสูตร อัง. ติกนิบาต ข้อ ๕๑๐) คำว่า พรหม ในที่นี้ แปลว่า ประเสริฐ เป็นชื่อของพระพุทธเจ้า
บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว เจริญธัมมานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรมเป็นอารมณ์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลนั้นชื่อว่าเข้าจำ ธรรมอุโบสถ อยู่ร่วมกับธรรม และมีจิตผ่องใสเพราะปรารภธรรม
บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว เจริญสังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์เป็นอารมณ์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลนั้นชื่อว่าเข้าจำ สังฆอุโบสถ อยู่ร่วมกับสงฆ์ และมีจิตผ่องใสเพราะปรารภสงฆ์
บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว เจริญสีลานุสสติ ระลึกถึงความบริสุทธิ์แห่งศีลของตน พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลนั้นชื่อว่าเข้าจำ ศีลอุโบสถ อยู่ร่วมกับศีล และมีจิตผ่องใสเพราะปรารภศีล

- ศีลที่บริสุทธิ์นั้น คือ ศีลที่ไม่ขาด คือไม่ขาดศีลข้อต้นหรือข้อปลายเหมือนผ้าที่ขาดตรงชาย ๑
- ไม่ทะลุ เหมือนผ้าที่ทะลุตรงกลาง เพราะขาดศีลตอนกลางในระหว่างข้อต้นและข้อปลาย ๑
- ไม่ด่าง เหมือนแม่วัวที่มีรอยด่างสีดำหรือแดง รูปกลมหรือยาว ที่หลังหรื่อที่ท้อง เพราะขาดศีลติดต่อกันเป็นลำดับ ๒ หรือ ๓ ข้อ ๑
- ไม่พร้อย เหมือนแม่วัวที่มีจุดตามตัว เพราะศีลขาดเป็นระหว่างๆ ๑

บุคคลที่รักษาอุโบสถแล้ว เจริญเทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณธรรมที่ทำให้ไปเกิดเป็นเทวดา พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลนั้นชื่อว่าเข้าจำ เทวดาอุโบสถ อยู่ร่วมกับเทวดา และมีจิตผ่องใสเพราะปรารภเทวดา

ผู้รักษาอุโบสถ เมื่อพากเพียรระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นต้นอยู่อย่างนี้ จิตย่อมผ่องใสไม่เศร้าหมองเพราะกิเลส ครั้นเจริญอนุสสติให้จิตใจสงบอย่างนี้แล้ว ตายไปย่อมเกิดในสวรรค์ หากเจริญธรรมให้สูงยิ่งกว่านี้ คือเจริญสมถะกรรมฐานเป็นนิจจนได้ฌาน ฌานก็จะนำเกิดในพรหมโลก หรือหากเจริญวิปัสสนาจนสำเร็จมรรคผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาแล้ว ผู้รักษาอุโบสถศีลนั้นก็สามารถกำหนดการเกิดของตนได้ว่า ยังมีอีกหรือไม่ คือถ้าเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีก็ยังต้องเกิดอีกแต่อย่างมากก็เกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ หากสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็ไม่เกิดอีกเลย

ก็เพราะอริยอุโบสถมีผลมาก มีอานิสงส์มากอย่างนี้ คืออย่างต่ำทำให้เกิดในสวรรค์ ๖ ชั้น อย่างกลางทำให้เกิดเป็นพรหม อย่างสูงทำให้ไม่เกิดอีกเลย ทุกท่านที่รักษาอุโบสถ จึงควรรักษาอริยอุโบสถ ดำเนินรอยตามพระอริยะ ส่วนผลที่ได้รับจะสูงต่ำเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง รวมทั้งปัญญาบารมีที่ได้สั่งสมอบรมมาแต่ปางก่อนด้วย ในสักกสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ข้อ ๔๖ พระพุทธองค์ตรัสเตือนอุบาสกชาวสักกชนบทที่รักษาอุโบสถศีลเป็นบางครั้งบางคราวว่า เป็นผู้ประมาทไม่ทำตามคำพร่ำสอนของพระองค์ ในเมื่อชีวิตมีภัยเพราะความโศก มีภัยเพราะความตายอย่างนี้ ก็ยังไม่รักษาอุโบสถศีลให้เป็นปกติ ให้สม่ำเสมอ สาวกของพระองค์นั้นปฏิบัติตามคำพร่ำสอนของพระองค์โดยไม่ประมาทตลอด ๑๐ ปี ย่อมได้รับความสุขเพียงอย่างเดียวตลอด ๑๐๐ ปีก็มี หมื่นปีก็มี แสนปีก็มี พึงเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีก็มี อย่าว่าแต่ผู้ที่ปฏิบัติตามคำพร่ำสอนของพระองค์ตลอด ๑๐ ปีเลย แม้ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์น้อยกว่านั้นลงมาตามลำดับจนถึง ๑ วัน ๑ คืน ก็พึงได้รับความสุขอย่างเดียวตลอด ๑๐๐ ปีก็มี หมื่นปีก็มี แสนปีก็มี พึงเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีก็มี

เมื่ออุบาสกชาวสักกชนบทได้ฟังพระพุทธองค์ตรัสเตือนพร้อมทั้งแสดงอานิสงส์ของอุโบสถศีลเช่นนั้น ก็กราบทูลรับรองว่า ต่อแต่นี้ไปจะรักษาอุโบสถศีลโดยสม่ำเสมอ มิได้ขาด ก็ชีวิตของเราทั้งหลายในปัจจุบันนี้ ล้วนมีภัยอันตรายอยู่รอบตัว ไม่มีใครทราบว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร แล้วเรายังจะประมาทไม่ทำตามคำพร่ำสอนของพระพุทธองค์ด้วยการรักษาศีล ๕ หรืออุโบสถศีลให้สม่ำเสมอดอกหรือ ในเมื่อศีลนั้นเป็นอริยทรัพย์ประการหนึ่งในบรรดาอริยทรัพย์ ๗ ประการที่พร้อมจะติดตามไปให้ความสุขแก่ผู้รักษาตลอดไป ตราบเท่าที่ยังต้องเกิดอยู่ เพราะฉะนั้น ผู้รักษาศีลดีแล้ว จึงไม่ต้องตั้งเจตนาปรารถนา ขอความไม่เดือดร้อนและความสุขจงเกิดแก่เรา ด้วยว่าความไม่เดือดร้อนและความสุข ย่อมเกิดแก่ผู้มีศีลเป็นธรรมดา แต่ผู้ทุศีลถึงจะตั้งเจตนาปรารถนาว่า ขอความไม่เดือดร้อนและความสุขจงเกิดแก่เรา เขาก็หาได้รับผลสมตามเจตนาไม่ เพราะความเดือดร้อนและความทุกข์ย่อมเกิดแก่ผู้ทุศีลเป็นธรรมดา ธรรมที่ปฏิบัติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้อย่างนี้


🙏 สำหรับศีลของคฤหัสถ์อีกอย่างหนึ่ง คือ ศีล ๘
ก็มี ๘ ข้อเหมือนอุโบสถศีล เพียงแต่ไม่กำหนดวันรักษาเหมือนอุโบสถศีล จะรักษาวันใด เมื่อไรก็ได้ เป็นการสะดวกสบายสำหรับผู้ที่ไม่อาจจะรักษาอุโบสถศีลในวันพระ ก็สามารถรักษาศีล ๘ ในวันอื่นเป็นการทดแทนได้ บางท่านมีศรัทธารักษาศีล ๘ จนตลอดชีวิต ควรแก่การสรรเสริญ และหากว่าท่านที่รักษาศีล ๘ นั้นจะได้รักษาศีล ๘ ของท่านตามแบบอย่างของพระอริยะแล้ว ศีลของท่านก็ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก

อนึ่งในการตั้งใจรักษาศีลนั้น อย่านึกว่าต้องไปสมาทานกับพระที่วัดเท่านั้นจึงจะเป็นศีล ความจริงแล้วจะสมาทานที่ไหนก็ได้ คือจะสมาทานที่วัด ในป่าหรือในบ้าน หากมีเจตนาคิดงดเว้นก็เป็นศีลแล้ว หรือจะคิดงดเว้นเองโดยมิต้องสมาทานก็เป็นศีล โดยเฉพาะอุโบสถศีลนั้น ควรตั้งเจตนาในการรักษาไว้แต่รุ่งเช้า หากมีโอกาสไปวัดจะสมาทานกับพระอีกครั้งหนึ่งก็สมควร ทั้งนี้เพราะตามวัดต่างๆ นั้น กว่าจะถึงเวลาที่พระท่านลงโบสถ์และให้ศีล ก็มักเป็นเวลาหลังจากที่ท่านฉันอาหารเช้าแล้ว (โดยมากประมาณ ๙ น.) ซึ่งเลยเวลาที่อรุณขึ้นมาหลายชั่วโมง ด้วยเหตุนั้นจึงควรสมาทานด้วยตนเองเสียก่อนแต่รุ่งเช้า

ในอดีต พระพุทธเจ้าของเราในสมัยที่ยังเป็นพระมหาชนกโพธิสัตว์ก็ยังได้สมาทานศีลอุโบสถด้วยตนเอง ในขณะที่ลอยอยู่กลางทะเล แม้ในสมัยพุทธกาล คนส่วนมากก็สมาทานศีลที่บ้าน ในวันอุโบสถ แล้วจึงถือดอกไม้ของหอมไปวัดเพื่อฟังธรรม (อรรถกถาเล่า) ท่านมิได้ไปรับศีลจากพระที่วัด หากการรักษาศีลจำเป็นต้องไปสมาทานกับพระเพียงอย่างเดียว ก็น่าคิดว่าผู้ที่อยู่ในถิ่นกันดารในที่ไม่มีวัด ไม่มีพระ แต่นับถือพระพุทธศาสนา มิหมดโอกาสที่จะรักษาศีลหรือ เพราะเหตุนี้การทำอะไรจึงต้องอาศัยปัญญา แม้การรักษาศีลก็ต้องอาศัยปัญญาพินิจพิจารณาให้รอบคอบ อย่าเพียงแต่ทำตามๆ กันโดยขาดเหตุผล ด้วยเหตุนี้ พระอรหันต์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า *ศีลเท่านั้นเป็นเลิศ แต่ผู้มีปัญญาเป็นผู้สูงสุดในโลกนี้ ความชนะในมนุษยโลกและเทวโลก ย่อมมีได้เพราะศีลและปัญญา (* ขุททกนิกาย เถรคาถา ปุณณเถรคาถา และสีลวเถรคาถา)

ความชนะในที่นี้ หมายถึง ความชนะกิเลส มนุษย์ก็ตาม เทวดาก็ตาม จะชนะกิเลสได้ก็เพราะศีลและปัญญา ศีลที่มีปัญญาเป็นพื้นฐาน จึงไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท ไม่เป็นทาสของตัณหาและทิฏฐิ กล่าวคือ ผู้รักษาศีล มิได้มุ่งรักษาเพราะต้องการลาภ ยศ สรรเสริญหรือสมบัติใดๆ มีโภคสมบัติเป็นต้น หรือมิได้รักษาเพราะเห็นผิดว่า เราจะบริสุทธิ์จากกิเลสได้เพราะศีลนี้ หมายความว่า ผู้นั้นเห็นผิดว่า ลำพังศีลอย่างเดียว คือศีลเท่านั้นบรรลุนิพพานได้ ซึ่งเห็นผิดไปจากความจริง เพราะผู้ที่จะบรรลุนิพพานได้นั้น ต้องประกอบด้วย ศีล สมาธิและปัญญา

เบื้องต้นนั้น ศีลเป็นบาทให้เกิดสมาธิ สมาธิเป็นบาทให้เกิดปัญญา แต่เบื้องปลาย ศีล สมาธิและปัญญา จะประชุมพร้อมกันเป็นมรรคสมังคี ในอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นอริยศีล อริยสมาธิและอริยปัญญา อริยศีลที่ประกอบด้วยอริยสมาธิและอริยปัญญา ในขณะนั้นเท่านั้นที่บรรลุนิพพานได้ อริยศีลนี้ จึงชื่อว่า สีเลน นิพฺพุติ ยนฺติ โดยแท้จริง ด้วยเหตุนี้ ศีลที่มีปัญญาเป็นพื้นฐาน จึงเป็นเครื่องกั้นบาปทุจริต เป็นเสบียงเดินทางชั้นเยี่ยม เป็นพาหนะอันประเสริฐ เป็นเครื่องหอมที่ฟุ้งไปทั่วทิศานุทิศ เป็นสะพานนำไปถึงสุคติโลกสวรรค์และนิพพาน หากยังไม่ปรินิพพานตราบใด ย่อมเกิดเป็นมนุษย์* และเทวดาเท่านั้น (* อัง. ทุกนิบาต ข้อ ๒๗๓)

กาเยน วาจาย จ  โยธ สญฺญโต มนสา จ กิญฺจิ น กโรติ ปาปํ
น อตฺตเหตุ อลิกํ ภณาติ   ตถาวิธํ สีลวนฺติ วทนฺติ
ผู้ใดสำรวมในโลกนี้ สำรวมทางกาย วาจาและใจ ไม่ทำบาปอะไรๆ
และไม่พูดพล่อย เพราะเหตุแห่งตน ท่านย่อมเรียกคนเช่นนั้นว่า ผู้มีศีล



แสดงปัญญาเจตสิกที่ประกอบกับจิต



ในสัมมาทิฏฐิสูตร แสดงฐานะของปัญญาไว้ ๖ ประการ คือ

๑. กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ คือปัญญาที่รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรม เป็นของตน
๒. ฌานสัมมาทิฏฐิ คือปัญญาที่รู้อุบาย ในการทำใจให้สงบจากนิวรณ์ ตลอดจนปัญญาในอภิญญาจิต
๓. วิปัสสนาสัมมาทิฏฐิ คือปัญญาที่เข้าไปรู้เห็น รูป-นามว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
๔. มรรคสัมมาทิฏฐิ คือปัญญาที่ทำกิจ ในการประหารอนุสัยกิเลส โดยมีพระนิพพาน เป็นอารมณ์
๕. ผลสัมมาทิฏฐิ คือปัญญาที่เสวยผลจากการที่มรรคญาณได้ทำการประหารอนุสัยกิเลสแล้ว โดยมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เรียกว่า “เสวยวิมุตติสุข”
๖. ปัจจเวกขณสัมมาทิฏฐิ คือปัญญาที่เกิดขึ้นภายหลังมรรคญาณผลญาณสำเร็จแล้ว เพื่อพิจารณาธรร,อย่างใดอย่างหนึ่งใน ๕ ประการคือ :- ๑) กิเลสที่ละแล้ว ๒) กิเลสที่ยังเหลืออยู่ ๓) มรรคจิต ๔) ผลจิต ๕) พระนิพพาน

🔅 สัมปโยคนัย
อารัมภบทแห่งสัมปโยคนัย

คาถาสังคหะ

เตสํ จิตฺตาวิยุตตานํ  ยถาโยคมิโต ปรํ
จิตฺตุปฺปาเทสุ ปจฺเจกํ  สมฺปโยโค ปวุจฺจติ ฯ

แปลความว่า ต่อไปนี้ จะแสดงการประกอบโดยเฉพาะของเจตสิกธรรมที่มีสภาพเกิดพร้อมกับจิต ขณะที่จิตเกิดขึ้นตามที่จะประกอบได้

อธิบาย ธรรมที่ชื่อว่า

“จิตฺตาวิยุตฺต” มีอรรถว่า “ไม่แยกกันกับจิต” ซึ่งได้แก่ เจตสิก
“จิตฺตุปฺปาท” มีอรรถว่า ความเกิดขึ้นของจิตพร้อมทั้งธรรมที่สัมปยุตด้วย ฉะนั้น สัมปโยคนัยจึงมีความหมายว่า เจตสิกแต่ละดวงนั้น ดวงหนึ่งๆ ประกอบกับจิตได้เท่าไร ได้แก่จิตอะไรบ้าง ซึ่งเป็นการยก เจตสิกเป็นประธานว่าสามารถประกอบกับจิตได้กี่ดวง

หลักเกณฑ์แห่งสัมปโยคนัย

คาถาสังคหะ

สตฺต สพฺพตฺถ ยุชฺชนุติ  ยถาโยคํ ปกิณฺณกา
จุฑฺทสากุสเลเสฺวว  โสภเณเสฺวว โสภณา ฯ

แปลความว่า สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ประกอบได้ในจิตทั้งหมดทุกดวง
ปกิณณกเจตสิก ๖ ประกอบได้ในจิตเฉพาะเท่าที่ควรประกอบได้
อกุศลเจตสิก ๑๔ ประกอบได้ในอกุศลจิต ๑๒ ดวงเท่านั้น
โสภณเจตสิก ๒๕ ประกอบได้ในโสภณจิต ๕๙ หรือ ๙๑ ดวง เท่านั้น

อธิบาย คาถาสังคหะนี้ เป็นการแสดงหลักเกณฑ์ของสัมปโยคนัยโดยสังเขป เพื่อเป็นหลักในการศึกษาสัมปโยคนัย โดยพิสดารต่อไป


สัมปโยคนัยแห่งอัญญสมานาเจตสิก

อัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ดวง มีสัมปโยคะ ๗ นัยคือ :-

สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ได้แก่ ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ และมนสิการเจตสิก ประกอบได้ในจิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ ทั้งหมดทุกดวง นับเป็น ๑ นัย
ปกิณณกเจตสิก ๖ ได้แก่ วิตก วิจาร อธิโมกข์ วิริยะ ปีติ และฉันทะ เจตสิก ประกอบได้ในจิต เฉพาะเท่าที่ควรประกอบได้ ปกิณณกเจตสิก ๖ ดวง นับเป็นสัมปโยคะ ๖ นัย

  • นัยที่ ๑ สัมปโยคของสัพพจิตสาธารณเจตสิก ๗ ดวงนั้น ประกอบได้ในจิตทั้งหมด มีความหมายชัดเจนแน่นอนอยู่แล้ว ส่วนปกิณณกเจตสิก ๖ ดวงนั้น มีคาถาสังคหะที่ ๕ และที่ ๖ แสดงความหมายได้ดังต่อไปนี้คือ :-

คาถาสังคหะ (ที่ ๕)

ฉสฏฺฐี ปญฺจปญฺญาส  เอกาทศ จ โสฬส
สตฺตติ วีสติ เจว ปกิณฺณกวิวชฺชิตา ฯ

แปลความว่า “จิตทั้งหลายที่ปกิณณกเจตสิก ๖ ประกอบไม่ได้นั้น มีจำนวนตามลำดับดังนี้คือ :- ๖๖ ดวง, ๕๕ ดวง, ๑๑ ดวง, ๑๖ ดวง, ๗๐ ดวง, ๒๐ ดวง” ซึ่งหมายความว่า

วิตกเจตสิก    ประกอบไม่ได้กับจิต    ๖๖ ดวง
วิจารเจตสิก                "                     ๕๕   "   
อธิโมกขเจตสิก          "                      ๑๑   "   
วิริยเจตสิก                  "                      ๑๖   "
ปีติเจตสิก                   "                      ๗๐   "
ฉันทเจตสิก                "                      ๒๐   " 

คาถาสังคหะ (ที่ ๖)

ปญฺจปญฺญาส ฉสฎฺจยฎ  จัสตุตติ ติสตฺตติ
เอกปญฺญาส เจกูน  สตฺตติ สปฺปกิณฺณกา ฯ

แปลความว่า “จิตทั้งหลายที่ปกิณณกเจตสิก ๖ ประกอบได้นั้น มีจำนวนตามลำดับดังนี้ คือ :- ๕๕ ดวง, ๖๖ ดวง, ๗๘ (๑๑๐) ดวง, ๗๓ (๑๐๕) ดวง, ๕๑ ดวง, ๖๙ (๑๐๑) ดวง” ซึ่งหมายความว่า

วิตกเจตสิก    ประกอบได้กับจิต        ๕๕ ดวง
วิจารเจตสิก                "                     ๖๖   "   
อธิโมกขเจตสิก          "                      ๗๘ (๑๑๐) ดวง  
วิริยเจตสิก                  "                      ๗๓ (๑๐๕)   " 
ปีติเจตสิก                   "                      ๕๑ ดวง
ฉันทเจตสิก                "                      ๖๙ (๑๐๑) ดวง

อธิบาย ปกิณณกเจตสิก ๖ ดวง ประกอบกับจิตเฉพาะที่ควรประกอบได้ดังคาถาสังคหะที่แสดงแล้วนั้นมี ๖ นัย ซึ่งจะได้แสดงการประกอบของปกิณณกเจตสิกทั้ง ๖ โดยพิสดารดังนี้


  • นัยที่ ๒ วิตกเจตสิก ประกอบกับจิตได้ ๕๕ ดวง ประกอบไม่ได้ ๖๖ ดวง

วิตกเจตสิก 
ประกอบกับจิตได้ ๕๕ ดวง คือ
- อกุศลจิต ๑๒
- อเหตุกจิต ๘ (เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐)
- กามาวจรโสภณจิต ๒๔
- ปฐมฌานจิต ๑๑
ประกอบกับจิตไม่ได้ ๖๖ ดวง คือ
- ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐
- ทุติยฌานจิต ๑๑
- ตติยฌานจิต ๑๑
- จตุตถฌานจิต ๑๑
- ปัญจมฌานจิต ๒๓


  • นัยที่ ๓ วิจารเจตสิก ประกอบกับจิตได้ ๖๖ ดวง ประกอบไม่ได้ ๕๕ ดวง ได้แก่ :-
วิจารเจตสิก
ประกอบกับจิตได้
 ๖๖ ดวง คือ
- อกุศลจิต ๑๒
- อเหตุกจิต ๘ (เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐)
- กามาวจรโสภณจิต ๒๔
- ปฐมฌานจิต ๑๑
- ทุติยฌานจิต ๑๑
ประกอบกับจิตไม่ได้ ๕๕ ดวง คือ
- ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐
- ตติยฌานจิต ๑๑
- จตุตถฌานจิต ๑๑
- ปัญจมฌานจิต ๒๓


  • นัยที่ ๔ อธิโมกขเจตสิก ประกอบกับจิตได้ ๗๘ ดวง หรือ ๑๑๐ ดวง ประกอบไม่ได้ ๑๑ ดวง ได้แก่ :-
อธิโมกขเจตสิก
ประกอบกับจิตได้ ๗๘ (๑๑๐) ดวง คือ
- อกุศลจิต ๑๑ (เว้นวิจิกิจฉา ๑) 
- อเหตุกจิต ๘  (เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐)
- กามาวจรโสภณจิต ๒๔
- มหัคคตจิต ๒๗
- โลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐
ประกอบกับจิตไม่ได้ ๕๕ ดวง คือ
- วิจิกิจฉาสัมปยุตจิต ๑
- ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐


  • นัยที่ ๕ วิริยเจตสิก ประกอบกับจิตได้ ๗๓ ดวง หรือ ๑๐๕ ดวง ประกอบไม่ได้ ๑๖ ดวง ได้แก่ :-

วิริยเจตสิก
ประกอบกับจิตได้ ๗๓ (๑๐๕) ดวง คือ
- อกุศลจิต ๑๒
- มโนทวาราวัชชนจิต ๑
- หสิตุปาทจิต ๑
- กามาวจรโสภณจิต ๒๔
- มหัคคตจิต ๒๗
- โลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐
ประกอบกับจิตไม่ได้ ๑๖ ดวง คือ
- อเหตุกจิต ๑๖ (เว้นมโนทวาราวัชชนจิต ๑ หสิตุปาทจิต ๑)


  • นัยที่ ๖ ปีติเจตสิก ประกอบกับจิตได้ ๕๑ ดวง ประกอบไม่ได้ ๗๐ ดวง ได้แก่ :-

ปิติเจตสิก
ประกอบกับจิตได้ ๕๑ ดวง คือ
- โสมนัสโลภมูลจิต ๔ 
- โสมนัสสันตีรณจิต ๑
- โสมนัสหสิตุปาทจิต ๑
- โสมนัสกามาวจรโสภณจิต ๑๒
- ปฐมฌาณจิต ๑๑
- ทุติยฌาณจิต ๑๑
- ตติยฌาณจิต ๑๑
ประกอบกับจิตไม่ได้ ๗๐ ดวง คือ
- อุเบกขาโลภมูลจิต ๔
- โทสมูลจิต ๒
- โมหมูลจิต ๒
- อุเบกขาอเหตุกจิต ๑๔
- กายวิญญาณจิต ๒
- อุเบกขากามาวจรโสภณจิต ๑๒
- จตุตถฌานจิต ๑๑
- ปัญจมฌานจิต ๒๓


  • นัยที่ ๗ ฉันทเจตสิก ประกอบกับจิตได้ ๖๙ ดวง หรือ ๑๐๑ ดวง ประกอบไม่ได้ ๒๐ ดวง ได้แก่ :-

ฉันทเจตสิก
ประกอบกับจิตได้ ๖๙ (๑๐๑) ดวง คือ
- โลภมูลจิต ๘
- โทสมูลจิต ๒
- กามาวจรโสภณจิต ๒๔
- มหัคคตจิต ๒๗
- โลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐
ประกอบกับจิตไม่ได้ ๒๐ ดวง คือ
- โมหมูลจิต ๒
- อเหตุกจิต ๑๘

👉 ข้อสังเกต 👈 ถ้าเจตสิกดวงใดประกอบได้กับโลกุตตรจิตทั้งหมด ก็นับจิตอย่างย่อ (๘๙) ถ้าเจตสิกดวงใดประกอบกับโลกุตตรจิตไม่ได้ทั้งหมด นับจิตอย่างพิสดาร (๑๒๑)

อนึ่ง การประกอบของปกิณณกเจตสิก โดยเฉพาะวิตก วิจาร ปีติเจตสิก กับโลกุตตรจิตนั้น มุ่งหมายเอาโลกุตตรจิตของพระอริยบุคคลที่เป็นฌานลาภีเท่านั้น ถ้าพระอริยบุคคลนั้นเป็นสุกขวิปัสสก วิตก วิจาร ปีติเจตสิกย่อมประกอบได้ทั้งหมด ถ้าโลกุตตรจิตนั้นเกิดขึ้นพร้อมด้วยโสมนัสเวทนา ปีติก็ประกอบได้ด้วย ถ้าโลกุตตรจิตนั้นเกิดขึ้นพร้อมด้วยอุเบกขาเวทนา ปีติก็ประกอบไม่ได้

สรุปความว่า สัมปโยคแห่งอัญญสมานาเจตสิก ๑๓ ดวงนั้นมี ๗ นัย คือ :-

  • นัยที่ ๑ สัพพจิตตสาธารณเจตสิก ๗ ดวง ประกอบได้กับจิตทั้งหมด
  • นัยที่ ๒ วิตกเจตสิก ประกอบกับจิตได้ ๕๕ ดวง ประกอบไม่ได้ ๖๖ ดวง
  • นัยที่ ๓ วิจารเจตสิก ประกอบกับจิตได้ ๖๖ ดวง ประกอบไม่ได้ ๕๕ ดวง
  • นัยที่ ๔ อธิโมกขเจตสิก ประกอบกับจิตได้ ๗๘ (๑๑๐) ดวง ประกอบไม่ได้ ๑๑ ดวง
  • นัยที่ ๕ วิริยเจตสิก ประกอบกับจิตได้ ๗๓ (๑๐๕) ดวง ประกอบไม่ได้ ๑๖ ดวง
  • นัยที่ ๖ ปีติเจตสิก ประกอบกับจิตได้ ๕๑ ดวง ประกอบไม่ได้ ๗๐ ดวง
  • นัยที่ ๗ ฉันทเจตสิก ประกอบกับจิตได้ ๖๙ (๑๐๑) ดวง ประกอบไม่ได้ ๒๐ ดวง


สัมปโยคนัยแห่งอกุศลเจตสิก

อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง เมื่อกล่าวโดยสัมปโยค คือการประกอบของอกุศลเจตสิก กับอกุศลจิตนั้นมี ๕ นัย ดังแสดงในคาถาสังคหะที่ ๗ และที่ ๘ คือ :-

คาถาสังคหะ (ที่ ๗-๘)

สพฺพาปุญฺเญสุ จตฺตาโร   โลภมูเล ตโย กตา
โทสมูเลสุ จตฺตาโร   สสงฺขาเร ทฺวยนฺตถา ฯ
วิจิกิจฺฉา วิจิกิจฺฉา   จิตฺเต จาติ จตุทฺทส
ทฺวาทสากุสเลเสฺวว   สมฺปยุชชนฺติ ปญจธา ฯ

แปลความว่า “อกุศลเจตสิก ๑๔ ย่อมประกอบกับอกุศลจิตเท่านั้น” โดยจำแนกการประกอบได้เป็น ๕ นัยคือ :-

- เจตสิก ๔ ดวง ย่อมประกอบกับอกุศลจิตได้ทั้งหมด
- เจตสิก ๓ ดวง ย่อมประกอบกับโลภมูลจิต
- เจตสิก ๔ ดวง ย่อมประกอบกับโทสมูลจิต
- เจตสิก ๒ ดวง ย่อมประกอบกับสสังขาริกจิต
- วิจิกิจฉาเจตสิก ๑ ย่อมประกอบกับวิจิกิจฉาสัมปยุตจิต (โมหมูลจิต)

อธิบาย อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง มีสัมปโยค ๕ นัยคือ :-

  • นัยที่ ๑ เจตสิก ๔ ดวง ที่ชื่อว่า “โมจตุกเจตสิก” คือ โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ อุทธัจจเจตสิก ประกอบกับอกุศลจิตได้ทั้งหมด (๑๒ ดวง)
  • นัยที่ ๒ เจตสิก ๓ ดวง ที่ชื่อว่า “โลติกเจตสิก” คือ โลภะ ทิฏฐิ มานะเจตสิกนั้น
    - โลภเจตสิก ประกอบกับโลภมูลจิตได้ทั้ง ๘ ดวง
    - ทิฏฐิเจตสิก ประกอบกับโลภมูลจิตได้เฉพาะในทิฏฐิคตสัมปยุตจิต ๔ ดวง
    - มานเจตสิก ประกอบกับโลภมูลจิตได้เฉพาะในทิฏฐิคตวิปปยุตจิต ๔ ดวง
  • นัยที่ ๓ เจตสิก ๔ ดวง ที่ชื่อว่า “โทจตุกเจตสิก” คือ โทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจเจตสิก ย่อมประกอบกับโทสมูลจิต ๒ ดวง
  • นัยที่ ๔ เจตสิก ๒ ดวง ที่ชื่อว่า “ถีทุกเจตสิก” คือ ถีนะกับมิทธเจตสิก ย่อมประกอบกับอกุศลสสังขาริกจิต ๕ ดวง ได้แก่
    - โลภมูลจิต ที่เป็นสสังขาริกจิต ๔ ดวง
    - โทสมูลจิต ที่เป็นสสังขาริกจิต ๑ ดวง
  • นัยที่ ๕ วิจิกิจฉาเจตสิก ประกอบได้ในวิจิกิจฉาสัมปยุตจิต ๑ ดวงเท่านั้น


สัมปโยคนัยแห่งโสภณเจตสิก

โสภณเจตสิก ๒๕ ดวง ย่อมประกอบกับโสภณจิตทั้งหมด ๕๙ หรือ ๙๑ ดวงเท่านั้น จำแนกการประกอบออกเป็น ๔ นัย ตามคาถาสังคหะที่ ๙ และที่ ๑๐ คือ :-

คาถาสังคหะ (ที่ ๙-๑๐)

เอกูนวีสติ ธมฺมา  ชายนฺเตกูนสฏฺฐิยํ
ตโย โสฬสจิตฺเตสุ  อฏฺฺฐวีสติยํ ทฺวยํ ฯ
ปญฺญา ปกาสิตา สตฺต  จตุตาฬีสวิเธสุปิ
สมฺปยุตตา จตุเธวํ  โสภเณเสฺวว โสภณา ฯ

แปลความว่า “โสภณเจตสิก ๒๕ ย่อมประกอบกับโสภณจิต ๕๙ หรือ ๙๑ ดวงเท่านั้น” โดยจำแนกการประกอบได้เป็น ๔ นัยคือ :-

- เจตสิก ๑๙ ดวง ย่อมประกอบกับจิต ๕๙ หรือ ๙๑ ดวง
- เจตสิก ๓ ดวง  ย่อมประกอบกับจิต ๑๖ หรือ ๔๘ ดวง
- เจตสิก ๒ ดวง ย่อมประกอบกับจิต ๒๘ ดวง
- ปัญญาเจตสิก ๑ ย่อมประกอบกับจิต ๔๗ หรือ ๗๙ ดวง

อธิบาย โสภณเจตสิก ๒๕ ดวงนั้น ย่อมประกอบได้เฉพาะในโสภณจิต ๕๙ หรือ ๙๑ ดวงเท่านั้น จะประกอบกับอโสภณจิต คืออกุศลจิตและอเหตุกจิตไม่ได้ ฉะนั้น การประกอบในโสภณจิตจึงแสดงไว้โดยสัมปโยคนัยได้ ๔ นัย คือ :-

  • นัยที่ ๑ เจตสิก ๑๙ ดวง ที่ชื่อว่า “โสภณสาธารณเจตสิก” คือ :-

สัทธาเจตสิก ๑
สติเจตสิก ๑
หิริเจตสิก ๑
โอตตัปปเจตสิก ๑
อโลภเจตสิก ๑
อโทสเจตสิก ๑
ตัตตรมัชฌัตตตา ๑
กายปัสสัทธิ จิตตปัสสัทธิ ๒
กายลหุตา จิตตลหุตา ๒
กายมุทิตา จิตตมุทุตา ๒
กายกัมมัญญตา จิตตกัมมัญญตา ๒
กายปาคุญญตา จิตตปาคุญญตา ๒
กายชุกตา จิตตุชุกตา ๒

เจตสิก ๑๙ ดวงนี้ประกอบได้กับโสภณจิตทั้งหมด ๕๙ หรือ ๙๑ ดวง คือ ขณะใดที่โสภณจิตทั้ง ๕๙ หรือ ๙๑ ดวง ดวงใดดวงหนึ่งเกิดขึ้น โสภณสาธารณเจตสิกทั้ง ๑๙ ดวง ต้องเข้าประกอบพร้อมกับจิตนั้นเสมอไม่มีเว้นเลย เจตสิกนี้จึงชื่อว่า “โสภณสาธารณเจตสิก"

  • นัยที่ ๒ เจตสิก ๓ ดวง ที่ชื่อว่า “วิรตีเจตสิก” คือ :-
สัมมาวาจาเจตสิก ๑
สัมมากัมมันตเจตสิก ๑
สัมมาอาชีวเจตสิก ๑

เจตสิก ๓ ดวงนี้ประกอบได้กับจิต ๑๖ หรือ ๔๘ ดวง ได้แก่ มหากุศลจิต ๘ โลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ ดวงเหล่านั้น

ข้อสังเกตจากสัมปโยคนัยที่ ๒

วิรตีเจตสิกประกอบได้กับมหากุศลจิต ๘ และโลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ นั้น เพราะวิรตีเจตสิก ๓ ดวงนี้ เมื่อประกอบกับมหากุศลจิต ย่อมเกิดขึ้นโดยการเว้นจากทุจริตกรรม เป็นการเว้นชั่วขณะหนึ่งๆ ในการรับโลกียอารมณ์เท่านั้น จึงเป็นกุศลชาติ คือ มหากุศลจิตเกิดเสมอ จะเป็นอกุศลชาติ,วิปากชาติ หรือกิริยาชาติไม่ได้ โดยเหตุนี้ วิรตีเจตสิก ๓ ดวง จึงไม่ประกอบกับมหาวิบากจิต และไม่ประกอบกับมหากิริยาจิตด้วย เพราะมหากิริยาจิตนั้นเป็นจิตของพระอรหันต์ ซึ่งเว้นจากทุจริตกรรมทั้งปวง อันมรรคจิตประหารแล้วโดยเด็ดขาด จึงไม่จำเป็นต้องมีวิรตีประกอบอีก

วิรตีเจตสิก ๓ ดวง ที่ไม่ประกอบกับมหัคคตจิตนั้น เพราะอารมณ์ของมหัคคตจิตนั้น มีกรรมฐาน ๓๐ เป็นอารมณ์ ไม่ใช่มีวิรมิตัพพวัตถุเป็นอารมณ์ เพื่อให้เกิดการเว้นจากทุจริตกรรม ฉะนั้นวิรตีเจตสิก ๓ ดวง จึงไม่ประกอบกับมหัคคตจิตทั้ง ๒๗ ดวง

วิรตีเจตสิก ๓ ดวง ที่ประกอบกับโลกุตตรจิตนั้น ย่อมเป็นโลกุตตรวิรตีมีฐานะเป็นมัคคังคเจตสิก ถ้าวิรตีเจตสิก ๓ ดวงนี้ไม่เกิด โลกุตตรจิตก็เกิดไม่ได้เพราะไม่ครบองค์แห่งมรรค ฉะนั้นการประกอบกับโลกุตตรจิตของวิรดีเจตสิกจึงต้องต่างกับโลกียวิรตีที่ประกอบกับมหากุศลจิต ย่อมประกอบได้ทีละดวง เช่น มหากุศลจิตใดเกิดขึ้นโดยเว้นจากมิจฉาวาจา ในมหากุศลจิตนั้นย่อมมีสัมมาวาจาเจตสิกประกอบ ส่วนสัมมากัมมันตะและสัมมาอาชีวเจตสิกไม่ประกอบดังนี้เป็นต้น จะประกอบพร้อมกันทั้ง ๓ ดวง อย่างโลกุตตรวิรดีที่ประกอบกับโลกุตตรจิตไม่ได้

  • นัยที่ ๓ เจตสิก ๒ ดวง ที่ชื่อว่า “อัปปมัญญาเจตสิก” คือ :-

กรุณาเจตสิก ๑
มุทิตาเจตสิก ๑

เจตสิก ๒ ดวงนี้ ประกอบได้กับจิต ๒๘ ดวง ได้แก่ มหากุศลจิต ๘ มหากิริยาจิต ๘ รูปาวจรจิต ๑๒ (เว้นรูปาวจรปัญจมฌานจิต ๓)

ข้อสังเกตจากสัมปโยคนัยที่ ๓

อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวง ไม่ประกอบกับมหาวิบากจิต ๘ ดวง รูปาวจรปัญจมฌานจิต ๓ อรูปาวจรจิต ๑๒ และโลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐ อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวง ไม่ประกอบในมหาวิบากจิต ๔ เพราะมหาวิบากจิตจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปรมัตถกามอารมณ์ ส่วนอัปปมัญญานั้นอาศัยสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์ อัปปมัญญาเจตสิกจึงประกอบไม่ได้ในมหาวิบากจิต ๘ ดวง

อัปปมัญญาไม่ประกอบในรูปาวจรปัญจมฌานจิต ๓ ดวง เพราะรูปาวจรปัญจมฌานจิตมีมัชฌัตตสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์บ้าง บัญญัติอารมณ์อื่นบ้าง ซึ่งไม่ใช่ทุกขิตสัตว์หรือสุขิตสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์ ฉะนั้นอัปปมัญญาเจตสิกจึงไม่ประกอบในรูปาวจรปัญจมฌานจิต ๓ ดวงดังกล่าว 

อัปปมัญญาเจตสิกไม่ประกอบในอรูปาวจรจิต ๑๒ ดวง เพราะอรูปาวจรจิตทั้ง ๑๒ ดวงนั้น เป็นจิตที่รับมหัคคตารมณ์ และบัญญัติอารมณ์อื่นๆอันเป็นอารมณ์ละเอียด จึงเสวยอารมณ์เป็นอุเบกขาเวทนา ดังนั้น ทุกขเวทนาและสุขเวทนาแห่งสัตว์ จึงเป็นกรรมฐานของอรูปาวจรจิตไม่ได้ อัปปมัญญาเจตสิกจึงไม่ประกอบในอรูปาวจรทั้ง ๑๒ ดวงนั้น อัปปมัญญาเจตสิกไม่ประกอบกับโลกุตตรจิต ๔ หรือ ๔๐ เพราะโลกุตตรจิตนั้นมีนิพพานเป็นอารมณ์ไม่ใช่มีสัตวบัญญัติเป็นอารมณ์ ฉะนั้นอัปปมัญญาเจตสิกจึงไม่ประกอบกับโลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐

  • นัยที่ ๔ ปัญญาเจตสิก หรือปัญญินทรียเจตสิก ประกอบได้กับจิต ๔๗ หรือ ๗๙ ดวง ได้แก่ กามาวจรโสภณญาณสัมปยุตจิต ๑๒ มหัคคตจิต ๒๗ โลกุตตรจิต ๘ หรือ ๔๐



โสภณเจตสิก

โสภณเจตสิก เป็นเจตสิกฝ่ายดีงาม เมื่อประกอบกับจิตแล้ว ย่อมทำให้จิตผ่องใสไม่เศร้าหมองเร่าร้อน ตั้งอยู่ในความดีงาม เว้นจากบาปธรรมและทุจริตกรรมต่างๆ เจตสิกประเภทนี้ จึงชื่อว่า โสภณเจตสิก ส่วนจิตที่มีชื่อว่า อโสภณจิตนั้น ย่อมแสดงว่าจิตเหล่านั้นมิได้ประกอบด้วยโสภณเจตสิกเลย ฉะนั้นจึงเห็นว่าโสภณเจตสิกนั้น ย่อมประกอบได้ในโสภณจิต ๕๙ หรือ ๙๑ ดวงเท่านั้น

โสภณเจตสิก มีจำนวน ๒๕ ดวง ตามแผนผังต่อไปนี้ :-



โสภณเจตสิก มี ๒๕ ดวง แบ่งออกเป็น ๔ นัย คือ :-

  • ก. โสภณสาธารณเจตสิก ๑๙ ดวง
  • ข. วิรตีเจตสิก ๓ ดวง
  • ค. อัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวง
  • ง. ปัญญินทรียเจตสิก ๑ ดวง


อธิบาย ก. โสภณสาธารณเจตสิก

มี ๑๙ ดวง เป็นเจตสิกที่ประกอบได้ทั่วไปในโสภณจิตทั้งหมด ๕๙ ดวง หรือ ๙๑ ดวง หมายความว่า เมื่อโสภณจิตดวงใดดวงหนึ่งเกิดขึ้นก็ตาม จะต้องมีโสภณสาธารณเจตสิกทั้ง ๑๙ ดวงนี้ ประกอบกับจิตนั้นด้วยเสมอ โสภณสาธารณเจตสิกทั้งหมดมี ๑๙ ดวง จะได้แสดงสภาวะของเจตสิกต่างๆ เหล่านี้โดยลำดับ

➤  สัทธาเจตสิก

สัทธาเจตสิก คือ ความเชื่อและเลื่อมใสในสิ่งที่ควรเชื่อ ได้แก่ ความเลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อเหตุผลในเรื่องกรรม และผลของกรรมตามความเป็นจริง มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ (ลักขณาทิจตุกะ) คือ :-

    สทฺธหน ลักขณา มีความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เป็นลักษณะ
    ปสาทน รสา มีการยังสัมปยุตธรรมให้ผ่องใส เป็นกิจ
    อกาฬุสสิย ปัจจุปัฏฐานา มีความไม่ขุ่นมัว เป็นผล
    สทฺเธยฺยวตฺถุ ปทฏฺฐานา มีวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งความเชื่อ เป็นเหตุใกล้

ลักขณาทิจตุกะของสัทธาเจตสิกอีกนัยหนึ่ง

    โอกปฺปน ลกฺขณา มีความปลงใจเชื่อด้วยปัญญา เป็นลักษณะ
    ปกฺขนฺทน รสา มีความแล่นไป เป็นกิจ
    อธิมุตติ ปจฺจุปฏฺฐานา มีความน้อมใจเชื่อ เป็นผล
    สทฺธมฺมสวนาทิ โสดาปตฺติยงฺค ปทฏฺฐานา มี🔎องค์แห่งโสดาปัตติมรรค มีการฟังพระสัทธรรม เป็นต้น เป็นเหตุใกล้

สัทธานี้ จัดเป็นธรรมเบื้องต้น ในอันที่จะทำให้บุคคลได้ประกอบคุณงามความดีเป็นบุญกุศลขึ้นมา และสัทธาที่จะเกิดขึ้นได้นั้น ย่อมต้องอาศัยวัตถุอันเป็นที่ตั้งแห่งความเชื่อ ได้แก่พระรัตนตรัย กรรม และผลของกรรมเป็นต้น สัทธา คือความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อนี้ จำแนกออกไปได้ ๔ ประการคือ :-

    กัมมสัทธา ได้แก่ ความเชื่อกรรม (เชื่อเหตุ)
    วิปากสัทธา ได้แก่ เชื่อผลของกรรม (เชื่อผล)
    กัมมัสสกตาสัทธา ได้แก่ เชื่อว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนๆ (เชื่อทั้งเหตุ และผล)
    ตถาคตโพธิสัทธา ได้แก่ เชื่อในความตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เหตุอันเป็นที่ตั้งแห่งสัทธา มี ๔ ประการคือ :-

    ๑. รูปปฺปมาณสทฺธา เชื่อเพราะเห็นรูปสมบัติสวยงาม
    ๒. ลูขปฺปมาณสุทธา เชื่อเพราะเห็นความประพฤติเคร่งครัด
    ๓. โฆสปฺปมาณสทฺธา เชื่อเพราะได้ฟังเสียงลือว่า ชื่อเสียงดีต่างๆ
    ๔. ธมฺมปฺปมาณสทฺธา เชื่อเหตุผลเพราะได้ฟังธรรมของผู้ที่ฉลาดในการแสดง

สัทธานั้น เมื่อเกิดขึ้นขณะใด ย่อมมีอันทำให้สัมปยุตธรรมผ่องใสประดุจสารส้มที่ทำน้ำที่ขุ่นให้ใสขึ้นฉะนั้น


➤  สติเจตสิก

สติเจตสิก คือ ธรรมชาติที่มีความระลึกได้ในอารมณ์ และให้สังวรอยู่กับกุศลธรรมเป็นลักษณะ มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ (ลักขณาทิจตุกะ) คือ :-

    อปิลาปนลกฺขณา มีความระลึกได้ในอารมณ์เนืองๆ เป็นลักษณะ
    อสมฺโมหรสา มีความไม่หลงลืม เป็นกิจ
    วิสยาภิมุขภาวปจฺจุปฏฺฺฐานา มีความจดจ่อต่ออารมณ์ เป็นผล
    ถิรสญฺญา ปทุฏฐานา (วา) มีความจำอันมั่นคง เป็นเหตุใกล้
     (หรือ) กายาทิสติปัฏฐาน ปทฏฺฐานา มีสติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นเหตุใกล้

สติ มีลักษณะ ๒ ประการ ดังที่แสดงในมิลินทปัญหา คือ :-

    ๑. อปิลาปนลักขณาสติ
    ๒. อุปคัณหณลักขณาสติ

๑. อปลาปนลักขณาสติ ได้แก่ สติที่เตือนให้ระลึกไปในธรรมทั้งหลายว่า ธรรมสิ่งนี้ดีสิ่งนั้นชั่ว, สิ่งนี้เป็นประโยชน์ สิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์, ธรรมสิ่งนี้เป็นสติปัฏฐาน ๔, สิ่งนี้เป็นพละ ๕, สิ่งนี้เป็นโพชฌงค์ ๗, สิ่งนี้เป็นมรรค ๘ หรือสิ่งนี้เป็นสมถกรรมฐาน, สิ่งนี้เป็นวิปัสสนากรรมฐาน, สิ่งนี้เป็นฌาน, เป็นสมาบัติ, เป็นวิชา, เป็นวิมุตติ, เป็นกองจิต, กองเจตสิก เมื่ออปิลาปนลักขณาสติ เตือนให้ระลึกถึงธรรมเหล่านี้แล้ว ก็มิได้ส้องเสพธรรมอันมิควรเสพ กลับเสพธรรมที่ควรเสพ สตินี้ จึงหมายถึงสติที่ประกอบทั่วไปในโสภณจิต ย่อมให้ระลึกถึงกุศลธรรม โดยทำหน้าที่กั้นกระแสแห่งนิวรณ์ธรรม จะประกอบด้วยปัญญา หรือมิได้ประกอบด้วยปัญญาก็สามารถให้ระลึกถึงกุศลธรรมโดยชอบได้

๒. อุปคัณหณลักขณาสติ ได้แก่ สติที่ชักชวนให้ถือเอาคติในธรรมอันดี ย่อมระลึกว่า ธรรมสิ่งนี้มีอุปการะ, ธรรมสิ่งนี้มิได้มีอุปการะ ถือเอาแต่ธรรมที่เป็นประโยชน์ ธรรมที่เป็นอุปการะ ดุจนายประตูของพระบรมกษัตริย์ ถ้าเห็นผู้ใดประหลาดเข้าไปสู่ประตูพระราชวัง ก็ห้ามเสียมิให้เข้า ผู้ใดมีอุปการะแก่พระบรมกษัตริย์ ก็ปล่อยให้เข้าไปสู่พระราชฐาน ย่อมกำจัดเสียซึ่งคนอันไม่ใช่ข้าฯเข้าเฝ้า ถือเอาแต่คนที่เป็นข้าฯให้เข้าสู่พระราชฐานนั้นได้ อุปคัณหณลักขณาสติ จึงเป็นสติที่อุปการะแก่ปัญญาโดยตรง ได้แก่สติสัมปชัญญะที่เกิดขึ้นในขณะพิจารณากาย, เวทนา, จิต, ธรรม ที่เรียกว่าเจริญ “สติปัฏฐาน ๔” อันเป็นปุพพภาคมรรค ซึ่งเป็นเบื้องต้นแห่งมรรค พรหมจรรย์ที่จะอุปการะให้แจ้งพระนิพพาน

ฉะนั้น สติ จึงมี ๒ อย่างคือ :-

  • สติ ที่ประกอบกับโสภณจิตโดยทั่วไป ในขณะระลึกรู้อารมณ์ที่อดีตสัญญาเก็บจำไว้ตามนัยปริยัติด้วยอปลาปนลักขณาสติ
  • สติ ที่กระทำความรู้สึกตัวขณะกำหนดรูปนามตามความจริงในการเจริญสติปัฏฐานตามนัยปฏิบัติด้วยอุปคุณหณลักขณาสติ

➤   หิริเจตสิก

หิริเจตสิก คือธรรมชาติที่ละอายต่อบาป ได้แก่ สภาพความเกลียดและละอายต่อการงานอันเป็นทุจริต มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ (ลักขณาทิจตุกะ) คือ :

    ปาปโต ชิคุจฺฉนลกฺขณา มีความเกลียดต่อบาป เป็นลักษณะ
    ปาปานํ อกรณรสา 
มีการไม่ทําบาป เป็นกิจ
    ปาปโต สงฺโกจนปัจฺจุปฏฺฐานา 
มีความละอายต่อบาป เป็นผล
    อตฺตคารว ปทฏฺฐานา 
มีความเคารพตนเอง เป็นเหตุใกล้


➤  โอตตัปปเจตสิก

โอตตัปปเจตสิก คือธรรมชาติที่สะดุ้งกลัวต่อบาป ได้แก่ สภาพความสะดุ้งกลัวต่อการงานอันเป็นทุจริต มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ (ลักขณาทิจตุกะ) คือ :-

    อุตฺตาสนลกฺขณํ มีความสะดุ้งกลัวต่อบาป เป็นลักษณะ
    ปาปานํ อกรณรสํ มีการไม่ทําบาป เป็นกิจ
    ปาปโต สงฺโกจนปจจุปฏฐานํ มีความละอายต่อบาป เป็นผล
    ปรคารว ปทฏฺฐานํ มีความเคารพผู้อื่น เป็นเหตุใกล้


👉 หิริ และโอตตัปปเจตสิก ทั้งสองนี้ย่อมปรากฏขึ้นในโอกาสที่เว้นจากความชั่ว หิริ นั้นมีอันเกลียดบาปเป็นลักษณะ โอตตัปปะ นั้น มีอันสะดุ้งกลัวต่อบาปเป็นลักษณะ หิริ เปรียบเหมือนหญิงสาวผู้มีสกุล ที่ขยะแขยงรังเกียจต่อบาปธรรมด้วยอำนาจความเคารพตน และอาศัยเหตุภายในเป็นสมุฏฐาน ได้แก่เหตุภายใน ๘ ประการ คือ

  • ๑. กุละ ละอายต่อบาปโดยคำนึงถึงตระกูลของตน
  • ๒. วยะ ละอายต่อบาปโดยคำนึงวัยของตน
  • ๓. พาหุสัจจะ ละอายต่อบาปโดยคำนึงถึงการศึกษาของตน
  • ๔. ชาติมหัคคตะ ละอายต่อบาปโดยคำนึงถึงชาติภูมิอันประเสริฐของตน
  • ๕. สัตถุมหัคคตะ ละอายต่อบาปโดยคำนึงถึงพระศาสดา, บิดามารดา, ครูอาจารย์
  • ๖. ทายัชชมหัคคะ ละอายต่อบาปโดยคำนึงถึงทายาทที่เป็นใหญ่
  • ๗. สหพรหมจารีมหัคคตะ  ละอายต่อบาปโดยคำนึงถึงเพื่อนสหพรหมจารี ที่เป็นใหญ่
  • ๘. สุรภาวะ ละอายต่อบาปโดยคำนึงถึงความแกล้วกล้าเข้มแข็งของตน

โอตตัปปะ เปรียบเหมือนหญิงแพศยา ผู้มีความเกรงกลัวต่อบาปธรรมด้วยอำนาจเคารพผู้อื่น และโอตตัปปะนี้อาศัยเหตุภายนอกเป็นสมุฏฐาน ได้แก่เหตุภายนอก ๔ ประการ คือ :-

  • ๑. อตฺตานุวาทภยํ กลัวต่อการติเตียนตนเอง
  • ๒. ปรวาทานุภยํ กลัวต่อการติเตียนจากผู้อื่น
  • ๓. ทณฺฑภยํ กลัวต่อราชทัณฑ์ คือกฎหมายบ้านเมือง
  • ๔. ทุคฺคติภยํ กลัวต่อภัยในอบายภูมิ

ความละอายและความสะดุ้งกลัว อันเป็นสภาพธรรมของหิริ และโอตตัปปะนี้ไม่เป็นอกุศล เพราะเป็นการละอายและเกรงกลัวในบาปทุจริตโดยพิจารณาเห็นโทษแล้วว่า ไม่ควรประพฤติปฏิบัติ เหมือนกับผู้พิจารณามรณานุสสติโดยเอาความตายมาเป็นอารมณ์ หรือผู้ที่กำลังพิจารณาอสุภกรรมฐาน ซึ่งขณะจิตที่กำลังพิจารณาอยู่นั้น จิตย่อมไม่ตกอยู่ในอำนาจฝ่ายอกุศล หิริและโอตตัปปะนี้ก็เช่นกัน ย่อมพิจารณาถึงบาปทุจริตแล้วไม่กระทำกรรมชั่ว ย่อมบริหารตนให้หมดจด ด้วยเหตุนี้หิริและโอตตัปปะ จึงจัดว่าเป็นธรรมที่คุ้มครองโลก สมดังพุทธดำรัสในอังคุตรนิกายทุกนิบาตว่า

“ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย สุกกธรรม ๒ ประเภทนี้ย่อมคุ้มครองโลก ธรรม ๒ ประการคืออะไรบ้าง คือหิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายสุกกธรรม ๒ ประการนี้ ย่อมคุ้มครองโลก ถ้าหากสุกกธรรม ๒ ประการนี้ไม่พึงคุ้มครองโลกไซร้ในโลกนี้จะไม่พึงปรากฏคำว่า มารดา บิดา พี่ ป้า น้า อา สามี ภรรยา ครู อาจารย์ ฯ ชาวโลกจักได้ถึงความปะปนกันเหมือนอย่าง แพะ แกะ ไก่ สุกร และสุนัข ฉะนั้นดูกร ภิกษุทั้งหลาย สุกกธรรม ๒ ประการนี้แลคุ้มครองโลกอยู่ ฉะนั้นจึงยังปรากฏคำว่า มารดา บิดา พี่ ป้า น้า อา ครู อาจารย์ ฯ” ดังนี้

➤  อโลภเจตสิก

อโลภเจตสิก คือธรรมชาติที่ไม่อยากได้ไม่ติดใจในอารมณ์ ได้แก่สภาพจิตที่ไม่อยากได้ และไม่ติดอยู่ในกามคุณอารมณ์ หรือธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อโลภะ ชื่อว่าอโลภะ เป็นมูลรากแห่งกุศลธรรม มีอรรถ ๔ ประการโดยเฉพาะ (ลักขณาทิจตุกะ) คือ :-

    อลคฺคภาวลกฺขโณ (วา) มีความไม่ติดอยู่ในอารมณ์ เป็นลักษณะ
     (หรือ) อเคธลกฺขโณ มีความไม่กำหนัดยินดีในอารมณ์ เป็นลักษณะ
    อปริคฺคหรโส มีความไม่หวงแหน เป็นกิจ
    อนลฺลินภาวปัจจุปัฏฐาโน  มีความไม่ยึดมั่นในอารมณ์ เป็นผล
    โยนิโสมนสิการ ปทฏฺฐาโน มีการกระทำในใจต่ออารมณ์อันแยบคาย เป็นเหตุใกล้

สภาพของอโลภะ ที่มีความไม่ติดอยู่ในอารมณ์เป็นลักษณะนั้น เหมือนหยาดน้ำที่ไม่ติดอยู่บนใบบัว มีความไม่หวงแหนเป็นกิจเหมือนภิกษุผู้ปล่อยวาง มีความไม่ยึดมั่นในอารมณ์เป็นผลเหมือนบุรุษผู้ตกลงไปในของที่ไม่สะอาด ฉะนั้นคุณธรรมของอโลภะ ย่อมเป็นปัจจัยแก่ความไม่มีโรค ย่อมได้เสพแต่สิ่งที่เป็นสัปปายะ

➤  อโทสเจตสิก

อโทสเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ไม่ประทุษร้าย ได้แก่ สภาพที่ไม่ประทุษร้ายในอารมณ์ มีความไม่โกรธ ไม่ปองร้าย ไม่เบียดเบียน เป็นมูลรากแห่งกุศลธรรม มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ (ลักขณาทิจตุกะ) คือ :-

    อจณฺฑิกลกฺขโณ (วา) มีความไม่ดุร้าย เป็นลักษณะ
    (หรือ) อวิโรธลกฺขโณ มีความไม่แค้นเคือง เป็นลักษณะ
    อาฆาตวินยรโส (วา) มีการกำจัดความอาฆาต เป็นกิจ 
    (หรือ) ปริฬาหวินยรโส มีการกำจัดความเร่าร้อน เป็นกิจ
    โสมภาวปจฺจุปฏฐาโน มีความร่มเย็นผ่องใส เป็นผล
    โยนิโสมนสิการ ปทุฏฐาโน มีการกระทำในใจต่ออารมณ์อันแยบคาย เป็นเหตุใกล้

สภาพของอโทสะที่มีความไม่ดุร้ายหรือไม่มีความเกรี้ยวกราดเป็นลักษณะเปรียบเหมือนมิตรผู้อนุบาลช่วยเหลือ มีการกำจัดความอาฆาตหรือกำจัดความเร่าร้อนเป็นกิจ เปรียบเหมือนกลิ่นจันทร์หอม มีความร่มเย็นเป็นผล เปรียบเหมือนแสงจันทร์วันเพ็ญ ฉะนั้นคุณธรรมของอโทสะนี้ย่อมเป็นปัจจัยแก่ความหนุ่มสาว เพราะคนที่ไม่โกรธ ไม่ถูกไฟคือโทสะแผดเผาให้หนังเหี่ยวย่นเป็นริ้วรอยและให้ผมหงอก ย่อมยังความเป็นหนุ่มสาวให้อยู่ได้นานๆ ขันติ คือ ความอดทนต่อเหตุที่ทำให้เจ็บใจ เมตตา คือ ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ธรรมทั้ง ๒ อย่างนี้ องค์ธรรมได้แก่ อโทสเจตสิก นั่นเอง

➤ ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก

ตัดตรมัชฌัตตตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่เป็นกลางในสัมปยุตธรรมนั้นๆ ได้แก่ การทำเจตสิกให้สม่ำเสมอในโสภณกิจของตน ไม่มีความยิ่งหย่อน มี อรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ (ลักขณาทิจตุกะ) คือ :-

    จิตฺตเจตสิกานํ สมวาหิตลกฺขณา มีการทำจิต และเจตสิกให้เป็นไปสม่ำเสมอ เป็นลักษณะ
    อูนาธิกตานิวารณรสา (วา) มีการห้ามจิตและเจตสิก ไม่ยิ่งและหย่อน เป็นกิจ
    (หรือ) ปกฺขปาตุปจฺเฉทนรสา มีการตัดขาดการตกไปในความยิ่งและหย่อนของจิตและเจตสิก เป็นกิจ
    มชฺฌตฺตภาวปัจฺจุปฏฺฐานา มีความฉลาดเป็นกลาง โดยเพ่งเฉยต่อจิตและเจตสิก เป็นผล
    สมฺปยุตฺตปทฏฺฐานา มีสัมปยุตธรรม เป็นเหตุใกล้
    
ตัดตรมัชฌัตตตาเจตสิกนี้ เป็นตัวกลางที่ทำให้จิตและเจตสิกที่เกิดขึ้นพร้อมกันในขณะนั้น ทำกิจของตนๆ โดยสม่ำเสมอ เหมือนสารถีผู้วางเฉยต่อม้าอาชาไนยที่วิ่งเรียบไป ฉะนั้น

➤ กายปัสสัทธิเจตสิก และ จิตตปัสสัทธิเจตสิก

กายปัสสัทธิเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ทำความสงบให้เจตสิกขันธ์ ๓ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์) ในการงานอันเป็นกุศล จิตตปัสสัทธิเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ทำความสงบให้จิต (วิญญาณขันธ์) ในการงานอันเป็นกุศล ปัสสัทธิเจตสิกทั้ง ๒ ดวงนี้ มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ คือ :

    กายจิตฺตานํ ทรถวูปสมลลกฺขณา มีการทำให้จิตและเจตสิกสงบจากความเร่าร้อน เป็นลักษณะ
    กายจิตฺตทรถนิมฺมทฺทนรสา มีการกำจัดความเร่าร้อนของจิตและเจตสิก เป็นกิจ
    กายจิตฺตานํ อปริปุผนฺทนสีติภาวปัจฺจุปัฏฐานา มีความเยือกเย็น ไม่ดิ้นรน เป็นผล
    กายจิตฺตปทฏฺฐานา มีจิตและเจตสิก เป็นเหตุใกล้

พระพุทธองค์ตรัสว่า เวทนากฺขนฺธสฺส เพราะทรงประสงค์เอาเจตสิกขันธ์ ๓ ว่า เป็น กาย และทรงประสงค์เอาวิญญาณขันธ์ เป็น จิต ธรรมชาติที่ชื่อว่า ปัสสัทธิ เพราะเป็นเหตุให้ธรรมเหล่านั้น (นามขันธ์ ๔) สงบ ปราศจากความกระวนกระวายถึงความปลอดโปร่ง กายปัสสัทธิและจิตตปัสสัทธิเจตสิกทั้ง ๒ นี้จึงประกอบกับโสภณจิตเท่านั้น และปัสสัทธิเจตสิกแม้จะประกอบกับโสภณจิต ๕๙ หรือ ๙๑ ดวงก็จริง แต่ย่อมยังความสงบในชั้นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร และปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ให้แตกต่างกัน


➤ กายลหุตาเจตสิก และ จิตตลหุตาเจตสิก

กายลหุตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ทำความเบาให้เจตสิกขันธ์ ๓ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์) ในการงานอันเป็นกุศล จิตตลหุตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ทำความเบาให้จิต (วิญญาณขันธ์) ในการงานอันเป็นกุศล ลหุตาเจตสิกทั้ง ๒ ดวงนี้ มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ คือ :-

    กายจิตฺตครุภาววูปสมลกฺขณา มีการทำให้จิตและเจตสิกบรรเทาจากความหนัก เป็นลักษณะ
    กายจิตฺตครุภาวนิมฺมทุนรสา มีการกำจัดความหนักของจิตและเจตสิก เป็นกิจ
    กายจิตฺตานํ อทนฺธตาปัจจุปัฏฐานา มีความไม่หนักของจิตและเจตสิก เป็นผล
    กายจิตฺตปทฏฺฐานา มีจิตและเจตสิก เป็นเหตุใกล้

ธรรมที่มีชื่อ กาย มุ่งหมายถึง เจตสิกขันธ์ ๓ และ จิต มุ่งหมายถึงวิญญาณขันธ์ ดังกล่าวแล้วในสภาวะของกายปัสสัทธิและจิตตปัสสัทธิ ฉะนั้น กายลหุตา และจิตตลหุตาเจตสิกนี้ จึงหมายถึงอาการแห่งภาวะที่เบา ชื่อว่า ลหุตา และความเบานี้ มีความหมายว่า ธรรมเหล่านี้เปลี่ยนไปได้เร็ว “ลหุปริณามตา” คือ สามารถเป็นไปได้โดยฉับพลัน, อทนฺธนตา ปฏิเสธความหนัก คือภาวะที่ไม่เป็นภาระหนัก, อวิตฺถนตา คือ ความกระด้างเพราะไม่มีกิเลสภาระ ได้แก่ ถีนมิทธะ เป็นต้น

กายลหุตาเจตสิก และจิตตลหุตา ที่เป็นอาการแห่งภาวะที่เบาของเจตสิกขันธ์ ๓ และวิญญาณขันธ์ (นามขันธ์ ๔) ซึ่งอยู่ในโสภณจิต ๕๙ หรือ ๙๑ ดวงเท่านั้น


➤ กายมุทุตาเจตสิก และ จิตตมุทุตาเจตสิก

กายมุทุตาเจตสิก คือธรรมชาติที่ทำความอ่อนให้เจตสิกขันธ์ ๓ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์) ในการงานอันเป็นกุศล จิตตมุทุตาเจตสิก คือธรรมชาติที่ทำความอ่อนให้จิต (วิญญาณขันธ์) ในการงานอันเป็นกุศล มุทุตาเจตสิกทั้ง ๒ ดวงนี้ โอนอ่อนรับอารมณ์อันเป็นกุศลได้ง่าย มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ (ลักขณาทิจตุกะ) คือ :

    กายจิตฺตถมฺภวูปสมลกฺขณา มีการทำให้จิตและเจตสิกสงบจากความกระด้าง เป็นลักษณะ
    กายจิตฺตถทฺธภาวนิมฺมทฺทนรสา มีการกำจัดความกระด้างของจิตและเจตสิก เป็นกิจ
    อปฺปฏิฆาตปจฺจุปฏฺฐานา มีความไม่โกรธ ไม่อาฆาต เป็นผล
    กายจิตฺตปทฏฺฐานา มีจิตและเจตสิก เป็นเหตุใกล้

กายมุทุตา และจิตตมุทุตาเจตสิกนี้ เป็นภาวะที่อ่อนของเจตสิกขันธ์ ๓ และวิญญาณขันธ์ ภาวะที่อ่อนชื่อว่า มุทุตา ขยายความว่า ความสนิทเกลี้ยงเกลาชื่อว่า มทฺทวตา ภาวะที่ไม่กักขฬะชื่อว่า อกกฺขลตา และภาวะที่ไม่กระด้างชื่อว่า อกถินตา มุทิตาเจตสิกทั้ง ๒ นี้เป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลส และเป็นธรรมที่ประกอบกับโสภณจิต ทำให้จิตนั้นอ่อนไหว น้อมรับอารมณ์อันเป็นกุศลได้อย่างสนิทสนม

➤ กายกัมมัญญตาเจตสิก และ จิตตกัมมัญญตาเจตสิก

กายกัมมัญญตาเจตสิกเป็นธรรมชาติ ที่ทำความเหมาะควรแก่การงานอันเป็นกุศลให้เจตสิกขันธ์ ๓ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์) จิตตกัมมัญญตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ทำความเหมาะควรแก่การงานอันเป็นกุศลให้จิต (วิญญาณขันธ์) กัมมัญญตาเจตสิกทั้ง ๒ ดวงนี้ มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ คือ :-

    กายจิตฺตกมฺมญฺญภาววูปสมลกฺขณา มีการทำให้จิตและเจตสิกเข้าสู่สภาวะที่สงบจากความที่ไม่ควรแก่การงาน เป็นลักษณะ
    กายจิตฺตกมฺมญฺญภาวนิมฺมทฺทนรสา มีการกำจัดความไม่ควรแก่การงานของจิตและเจตสิก เป็นกิจ
    กายจิตฺตานํ อารมฺมณกรณสมฺปตฺติ ปจฺจุปัฏฐานา มีความถึงพร้อมในการกระทำอารมณ์ให้สมควรแก่จิตและเจตสิก เป็นผล
    กายจิตฺตปทฏฺฐานา มีจิตและเจตสิก เป็นเหตุใกล้

กัมมัญญตาเจตสิกทั้ง ๒ นี้เป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลส เป็นธรรมที่ประกอบกับโสภณจิต ทำให้เกิดความพอดี สมควรแก่การงานอันเป็นกุศล

➤ กายปาคุญญตาเจตสิก และ จิตตปาคุญญตาเจตสิก

กายปาคุญญตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ทำให้เจตสิกขันธ์ ๓ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์) คล่องแคล่วต่อการงานอันเป็นกุศล จิตตปาคุญญตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ทำให้จิต (วิญญาณขันธ์) คล่องแคล่วในการงานอันเป็นกุศล ปาคุญญตาเจตสิกทั้ง ๒ ดวงนี้ มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ คือ :

    กายจิตฺตานํ อเคลญฺญภาวลกฺขณา มีความไม่อาพาธของจิตและเจตสิก เป็นลักษณะ
    กายจิตฺตเคลญฺญนิมฺมทฺทรสา มีการกำจัดความอาพาธของจิตและเจตสิก เป็นกิจ
    นิราทีนวปจฺจุปฏฺฐานา มีความปราศจากโทษ เป็นผล
    กายจิตฺตปทฏฺฐานา มีจิตและเจตสิก เป็นเหตุใกล้

ปาคุญญตาเจตสิกทั้ง ๒ ดวงนี้ เป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลส เป็นธรรมที่ประกอบกับโสภณจิต ทำให้จิตเข้าถึงสภาวะที่คล่องแคล่ว ไม่อืดอาดต่อการงานอันเป็นกุศล

➤  กายุชุกตาเจตสิก และ จิตตุชุกตาเจตสิก

กายุชุกตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ทำให้เจตสิกขันธ์ ๓ (เวทนาขันธ์, สัญญาขันธ์, สังขารขันธ์) มีความซื่อตรงในการงานอันเป็นกุศล จิตตุชุกตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่ทำให้จิต (วิญญาณขันธ์) มีความซื่อตรงในการงานอันเป็นกุศล เจตสิกทั้ง ๒ ดวงนี้ มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ คือ :-

    กายจิตฺตอชฺชวลกฺขณา มีความซื่อตรงของจิตและเจตสิก เป็นกิจ
    กายจิตฺตกุฏิลภาวนิมฺมทฺทนรสา มีการกำจัดความไม่ซื่อตรงของจิตและเจตสิก เป็นลักษณะ
    อชิมหตา ปจฺจุปฏฺฐานา มีความซื่อตรงของจิตและเจตสิก เป็นผล
    กายจิตฺตปทุฏฐานา มีจิตและเจตสิก เป็นเหตุใกล้

เจตสิกทั้ง ๒ ดวงนี้ เป็นธรรมที่ประกอบกับโสภณจิต ทำให้สามารถกำจัดปฏิปักษ์ธรรมคือ มายาปิดบังความชั่วและสาไถย ความโอ้อวดคุณธรรมที่ไม่มีในตนให้สิ้นไป และพร้อมกันนั้น ทำให้เจตสิกและจิตซื่อตรงไม่คดโค้งและงอนต่อการงานอันเป็นกุศล ในอัฏฐสาลินีกล่าวว่า ผู้ใดมีกรรมและทวารทั้ง ๓ ไม่บริสุทธิ์ ผู้นั้นชื่อว่า “คด” เหมือนเยี่ยวโค ผู้ใดมีกรรมและทวารทั้ง ๒ ไม่บริสุทธิ์ ผู้นั้นชื่อว่า “โค้ง” เหมือนเสี้ยวของดวงจันทร์ ผู้ใดมีกรรมและทวารอย่างใดอย่างหนึ่งไม่บริสุทธิ์ ผู้นั้นชื่อว่า “งอน” เหมือนปลายคันไถ


อธิบาย ข. วิรตีเจตสิก

วิรดีเจตสิกเป็นธรรมชาติที่เป็นเครื่องงดเว้นจากบาปธรรม มีปาณาติบาต เป็นต้น ภาวะแห่งการงดเว้นจากบาปธรรมหรือทุจริตกรรมนี้ชื่อวิรัติ และเรียกสภาวธรรม ที่เป็นเครื่องงดเว้นจากบาปธรรมว่าวิรตีเจตสิก ภาวะแห่งการงดเว้นจากบาปธรรมที่ชื่อว่า วิรัตินั้นมี ๓ ประเภท คือ สัมปัตตวิรัติ ๑ สมาทานวิรัติ ๑ และสมุจเฉทวิรัติ ๑

    สัมปัตตวิรัติ งดเว้นจากบาปธรรม โดยความถึงพร้อมแห่งอัธยาศัย เช่น เว้นจากการฆ่าสัตว์ เพราะคิดว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมรักชีวิตตน
    สมาทานวิรัติ การงดเว้นจากบาปธรรม โดยการยึดเอาสิกขาบทที่บัญญัติไว้ เช่น การถือศีล ๕ หรืออุโบสถศีล โดยสมาทานจากภิกษุผู้ทรงศีล เป็นต้น
    สมุจเฉทวิรัติ การงดเว้นจากบาปธรรมโดยเด็ดขาด คือวิรัติที่ประกอบเป็นองค์อริยมรรค ทำให้พระโยคาวจรบรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคลแล้ว พระอริยบุคคลนั้นไม่เกิดความคิดแม้ว่าเราจะฆ่าสัตว์

วิรัติ อันเป็นภาวะแห่งการงดเว้นจากบาปธรรมนี้ มีสภาวะเป็นเจตสิก ปรมัตถ์ที่ชื่อว่า วิรตีเจตสิก ซึ่งมีอยู่ ๓ ดวงคือสัมมาวาจาเจตสิก สัมมากัมมันตเจตสิก และสัมมาอาชีวเจตสิก

➤  สัมมาวาจาเจตสิก

สัมมาวาจาเจตสิก เป็นเจตสิกที่ประกอบกับมหากุศลจิตและโลกุตตรจิต ทำให้เกิดการเว้นจากวจีทุจริตทั้ง ๔ มีการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบและพูดเพ้อเจ้อ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการงานอันเป็นอาชีพ มีอรรถ ๔ ประการโดยเฉพาะ (ลักขณาทิจตุกะ) คือ :-

    ปริคฺคหลกฺขณา มีการป้องกันไว้ซึ่งวจีทุจริต เป็นลักษณะ
    วิรมณรสา มีการเว้นจากมิจฉาวาจา เป็นกิจ
    มิจฺฉาวาจาปหานปจจุปฏฺฐานา มีการประหารมิจฉาวาจา เป็นผล
    สทฺธาหิโรตฺตปฺปาทิคุณ ปทุฏฐานา มีคุณธรรม คือ สัทธา หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น เป็นเหตุใกล้

สัมมาวาจามี ๓ ประการ คือ :-
๑. กถาสมฺมาวาจา คือการกล่าววาจาที่ดีมีศีลธรรม เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟังเช่น การสอน การสนทนาธรรม เป็นต้น
๒. เจตนาสมฺมาวาจา คือตั้งใจกล่าววาจาสมาทานศีลว่า จะละเว้นจากวจีทุจริต มีการสมาทานว่า จะไม่พูดปด เป็นต้น
๓. วิรตีสมฺมาวาจา คือการงดเว้นวจีทุจริต ๔ และเป็นการงดเว้นเฉพาะหน้า ขณะมีอารมณ์ที่จะกล่าววจีทุจริตออกไป

➤  สัมมากัมมันตเจตสิก

สัมมากัมมันตเจตสิก เป็นเจตสิกที่ประกอบกับมหากุศลจิตและโลกุตตรจิตทำให้เกิดการงานที่เว้นจากกายทุจริตทั้ง ๓ มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ซึ่งไม่เกี่ยวกับการงานอันเป็นอาชีพ มีอรรถ ๔ ประการโดยเฉพาะ (ลักขณาทิจตุกะ) คือ :-

    สมุฏฐานลกฺขโณ มีการป้องกันกายทุจริต เป็นลักษณะ
    วิรมณรโส มีการเว้นจากมิจฉากัมมันตะ เป็นกิจ
    มิจฺฉากมฺมนฺต ปหานปจฺจุปัฏฐาโน มีการประหารมิจฉากัมมันตะ เป็นผล
    สทฺธาหิโรตฺตปุปาทิคุณปทฏฐาโน มีคุณธรรมคือสัทธา หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น เป็นเหตุใกล้

สัมมากัมมันตะมี ๓ ประการ คือ :-
๑. ยถาพลํสมฺมากมุมนุต ได้แก่ การกระทำการงานที่ชอบ ที่ควร มีการประกอบทานกุศล อ่อนน้อมถ่อมตนหรือช่วยเหลือการงาน ที่เป็นประโยชน์ตามสมควรแก่กำลังของตน เป็นต้น
๒. เจตนาสมฺมากมุมนุต ได้แก่ ภาวะที่ตั้งใจสมาทานว่า จะละเว้นจากกายทุจริต มีการฆ่าสัตว์ เป็นต้น
๓. วิรตีสมฺมากมฺมนฺต ได้แก่ การเว้นจากกายทุจริตทั้ง ๓ และเป็นการเว้นเฉพาะหน้า ขณะที่มีอารมณ์ที่จะให้ล่วงกายทุจริตมาปรากฏ

➤  สัมมาอาชีวเจตสิก

สัมมาอาชีวเจตสิก เป็นเจตสิกที่ประกอบกับมหากุศลจิตและโลกุตตรจิต ทำให้เกิดการเว้นจากกายทุจริต ๓ วจีทุจริต ๔ ที่เกี่ยวกับอาชีพ มีอรรถ ๔ ประการโดยเฉพาะ (ลักขณาทิจตุกะ) คือ :-

    โวทานลกฺขโณ มีความผ่องแผ้ว เป็นลักษณะ
    กายชิวปฺปวตฺติรโส มีความเป็นไปแห่งกายและวาจาอันบริสุทธิ์ เป็นกิจ
    มิจฺฉาอาชีวปหานปจฺจุปฏฐาโน มีการประหารมิจฉาชีพ เป็นผล
    สทฺธาหิโรตฺตปฺปาทิคุณปทฏฐาโน มีคุณธรรมคือสัทธา หิริ โอตตัปปะ เป็นต้น เป็นเหตุใกล้

สัมมาอาชีวะมี ๒ ประการ คือ :-
๑. วิริยสมมาอาชีวะ ได้แก่ ความเพียรเพื่อกระทำการงานหาเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม
๒. วิรตีสมมาอาชีวะ ได้แก่ การงดเว้นจากกายทุจริต ๓ วจีทุจริต ๔ ที่เกี่ยวกับอาชีพ และเป็นการงานเว้นเฉพาะหน้าขณะมีอารมณ์เกี่ยวกับอาชีพที่จะให้ล่วงทุจริตกรรมมาปรากฏ

วิรตีเจตสิกทั้ง ๓ ดวงที่กล่าวแล้ว อันได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะร่วมกันอีก คือ :-

    กายทุจฺจริตาทิวตฺถุนํ อวีติกุกสลกฺขณา มีการไม่ก้าวล่วงกายทุจริต เป็นต้น เป็นลักษณะ
    กายทุจฺจริตาทิวตฺถุโต สงฺโกจนรสา มีการเบือนหน้าจากวัตถุแห่งกายทุจริต เป็นต้น เป็นกิจ
    อกิริยาปจฺจุปฏฺฐานา มีการไม่กระทำวัตถุแห่งกายทุจริต เป็นต้น
    สทฺธาหิโรตฺตปฺปิจฺฉตาทิคุณปทุฏฐานา มีคุณธรรม คือ สัทธา หิริ โอตตัปปะ และอัปปิจฉตา (ความเป็นผู้ปรารถนาน้อย) เป็นต้น เป็นเหตุใกล้ เป็นผล

วิรตีเจตสิก จะเกิดได้ย่อมอาศัยวัตถุอันพึงเว้นจากการก้าวล่วงทุจริตกรรม วัตถุอันพึงเว้นนั้นชื่อว่า วิรมิตัพพวัตถุ วิรตีเจตสิก ๓ ดวงนี้ ประกอบในมหากุศลจิตได้ไม่แน่นอน และไม่พร้อมกัน ส่วนขณะที่ประกอบกับโลกุตตรจิต ย่อมประกอบได้แน่นอนและพร้อมกันทั้ง ๓ ดวง เรียกว่า นิยตเอกโต เป็นศีลในองค์มรรค เพื่อทำหน้าที่ประหารทุจริตทุราชีพโดยเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน


อธิบาย ค. อัปปมัญญาเจตสิก

อัปปมัญญาเจตสิก หมายถึง ธรรมที่แผ่ไปในสัตว์ทั้งหลายโดยหาประมาณมิได้ ดังวจนัตถะว่า อปฺปมาเณสุ สตฺเตสุ ภวาติ = อปฺปมญฺญฺา แปลความว่า ธรรมที่แผ่ไปในสัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ไม่มีจำกัด ชื่อว่า อัปปมัญญา

ธรรมที่ชื่อว่า อัปปมัญญามี ๔ อย่าง ดังแสดงไว้ในพระบาลีว่า “เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เจติ อิมาจตสฺโส อปฺปมญฺฺโญนาม พฺรหฺม วิหาโรติ จปวุจฺจติฯ” แปลความว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ธรรม ทั้ง ๔ อย่างนี้ชื่อว่า อัปปมัญญา เพราะไม่มีประมาณ หรือที่ชนทั้งหลายเรียกว่าพรหมวิหาร เพราะผู้ปฏิบัติธรรมใน ๔ อย่างนี้ ย่อมมีความเป็นอยู่เหมือนพรหม อัปปมัญญาเจตสิก ที่แสดงไว้ในอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทนี้มี ๒ ดวงได้แก่ กรุณาเจตสิก และ มุทิตาเจตสิก ส่วน เมตตา มีองค์ธรรม คือ อโทสเจตสิก และอุเบกขา มีองค์ธรรม คือ ตัตตรมัชฌัตตตาเจตสิก อยู่แล้ว จึงมิได้นำมาแสดงไว้โดยนัยแห่งอัปปมัญญาเจตสิกนี้อีก ต่อไปนี้จะได้แสดงอัปปมัญญาเจตสิก ๒ ดวง คือ

➤  กรุณาเจตสิก

กรุณาเจตสิก คือ ธรรมชาติที่มีความสงสารต่อทุกขิตสัตว์ ได้แก่ ความสงสารสัตว์ที่กำลังได้รับความทุกข์ยากลำบากอยู่ หรือที่จะได้รับความทุกข์ยากลำบากในกาลข้างหน้า มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ คือ :-

    ทุกฺขาปนยนาการปวตฺติลกฺขณา มีความเป็นไปโดยอาการช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์ เป็นลักษณะ
    ปรทุกฺขาสหนรสา มีความกำจัดทุกข์ของผู้อื่น เป็นกิจ
    อวิหึสาปจฺจุปฏฺฐานา มีความไม่เบียดเบียน เป็นผล
    ทุกฺขาภิภูตานํ อนาถภาวทสฺสน ปทุฏฐานา มีการเห็นสัตว์ผู้ไร้ที่พึ่งถูกทุกข์ครอบงำ เป็นเหตุใกล้

สภาพของกรุณานี้ มีการสงบระงับวิหิงสาเป็นสมบัติ และมีการเกิดความโศกเป็นวิบัติ ที่ชื่อว่า “กรุณา” เพราะย่อมกระทำจิตใจของคนดีให้หวั่นไหวในเมื่อผู้อื่นมีความทุกข์ชื่อว่า “กรุณา” เพราะถ่ายทุกข์ของผู้อื่น หรือกำจัดความทุกข์ของผู้อื่นให้พินาศ ชื่อว่า “กรุณา” เพราะด้วยอำนาจการแผ่กระจายไปในสัตว์อื่นที่มีทุกข์ เมื่อกรุณาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเข้าถึงความไม่เบียดเบียนผู้อื่น และทำลายความโศกที่เกิดขึ้นกับตนให้หายไป กรุณานี้จึงประกอบได้กับโลกียกุศลจิต และมหากิริยาจิต

➤  มุทิตาเจตสิก

มุทิตาเจตสิก เป็นธรรมชาติที่มีความพลอยยินดีต่อสุขิตสัตว์ ได้แก่ความพลอยยินดีต่อผู้ที่กำลังประสบความสุขอยู่ หรือผู้ที่จะประสบความสุขในกาลข้างหน้า มีอรรถ ๔ ประการ โดยเฉพาะ (ลักขณาทิจตุกะ) คือ

    ปรสมฺปตฺติอนุโมทนลกฺขณา มีความพลอยยินดี ในสมบัติของผู้อื่น เป็นลักษณะ
    อนิสฺสายนรสา มีความไม่ริษยา เป็นกิจ
    อรติวิฆาตปจฺจุปฏฺฐานา มีการกำจัดความไม่ยินดี เป็นผล
    ปรสมฺปตฺติ ทสฺสนปทฏฺฐานา มีการเห็นสมบัติของผู้อื่น เป็นเหตุใกล้

สภาพของมุทิตาเจตสิกนี้ ย่อมทำให้จิตใจเข้าถึงการสงบระงับความไม่ยินดีทั้งปวง เป็นสมบัติ และเกิดความกำหนัดยินดีร่าเริง เป็นวิบัติ

➤  ปัญญินทรีย์เจตสิก

ปัญญินทรีย์เจตสิก คือธรรมชาติที่รู้เหตุผลในสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้แก่ ธรรมชาติที่รู้เหตุผลของกรรม ตลอดจนรู้เรื่องอริยสัจ โดยนัยเป็นต้นว่า นี้คือทุกข์ หรือที่ชื่อว่า ปัญญา เพราะรู้ไตรลักษณ์ มีอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เป็นต้น ปัญญา ชื่อว่า เป็นอินทรีย์ เพราะเป็นใหญ่โดยครอบงำอวิชชาเสียได้และมีหน้าที่เป็นใหญ่ในการรู้ทั่วไปตามความเป็นจริง ฉะนั้น “ปัญญา” จึงชื่อว่า ปัญญินทรีย์เจตสิก ซึ่งมีอรรถ ๔ ประการโดยเฉพาะ คือ :-

    ธมฺมสภาวปฏิเวธลกฺขณา มีการรู้แจ้งสภาวธรรม เป็นลักษณะ
    ธมฺมานํ สภาวปฏิจฺฉาทกโมหนฺธการวิทฺธสนรสา (วา) มีการกำจัดความมืดมนอนธกาล คือโมหะ อันปกปิดมิให้เห็นสภาวธรรมตามความเป็นจริง เป็นกิจ
    ตถปฺปกาสนรสา (วา) หรือมีการประกาศความจริง เป็นกิจ
    ปรมตฺถปกาสนรสา (วา) หรือมีการประกาศปรมัตถธรรม เป็นกิจ
    จตุสจฺจวิภาวนกิจฺจานรสา มีการยังอริยสัจ ๔ ให้แจ่มแจ้ง เป็นกิจ
    อสมฺโมหปจฺจุปฏฺฐานา มีความไม่หลงจากความจริง เป็นผล
    สมาธิปทฏฺฐานา มีสมาธิ เป็นเหตุใกล้

โดยอรรถดังกล่าวนี้ จึงเห็นว่า ปัญญามีการแทงตลอดตามสภาวะเป็นลักษณะ หรือมีการแทงตลอดไม่ผิดพลาด เป็นลักษณะ ดุจการแทงถูกที่หมายแห่งลูกศรของนายขมังธนูผู้ฉลาดยิงไปฉะนั้น มีการส่องให้เห็นอารมณ์โดยความเป็นจริง เป็นกิจ ดุจดวงประทีปที่ส่องให้เห็นวัตถุในความมืดฉะนั้น มีความไม่หลงลืม เป็นผล ดุจผู้ชี้ทางแก่คนที่จะไปในป่าฉะนั้น และมีความสงบ เป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญานี้เมื่อเกิดขึ้น ย่อมรู้ทั่วถึงธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล ทั้งที่ควรเสพและไม่ควรเสพ ทั้งเลวและประณีต ทั้งที่เข้ากันได้และไม่ได้ ดุจนายแพทย์ผู้ฉลาด ย่อมรู้จักเภสัชอันเป็นที่สบายหรือไม่สบายแห่งคนไข้ทั้งหลาย ฉะนั้น สภาวะของปัญญานั้น โดยอรรถว่า ทำให้ปรากฏคือ ทำเนื้อความนั้นๆ ให้แจ่มแจ้ง หรือรู้ธรรมทั้งหลายโดยประการนั้นๆ คือ รู้ว่ามีภาวะที่ไม่เที่ยงเป็นต้น ภาวะของปัญญา จึงเป็นไปอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่โลกียปัญญาจนถึงโลกุตตรปัญญา ซึ่งเมื่อจำแนกประเภทของปัญญา โดยสังเขปแล้วได้ ๓ ประการคือ :-

๑. กัมมัสสกตาปัญญา คือปัญญาที่รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน
๒. วิปัสสนาปัญญา คือปัญญาที่รู้ว่า ขันธ์ ๕, อายตนะ ๑๒, ธาตุ ๑๘, อินทรีย์ ๒๒, สัจจะ ๔, ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ได้แก่ สภาวะของรูปนาม ที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลง ไม่มั่นคงและบังคับบัญชาไม่ได้คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา
๓. โลกุตตรปัญญา คือปัญญาที่รู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ ๔ มีทุกข อริยสัจ เป็นต้น

ปัญญาที่รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน หรือกัมมัสสกตาปัญญานั้น คือปัญญาที่มีความเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริงต่ออารมณ์ที่เรียกว่า ทสวัตถุกสัมมาทิฏฐิ มี ๑๐ ประการคือ :-

๑. อตฺถิ ทินฺนํ เห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้ว ย่อมมีผลดี
๒. อตฺถิ ยิฏฐํ เห็นว่า การบูชาต่างๆ ที่กระทำแล้วย่อมมีผลดี
๓. อตฺถิ หุตํ เห็นว่า การเชื้อเชิญบวงสรวง ย่อมมีผลดี
๔. อตฺถิ สุกตทุกฺกตานํ กมุมานํ ผลํวิปากโก เห็นว่า การทำดี หรือทำชั่วมีการให้ได้ผล ทั้งทางตรง และทางอ้อม
๕. อตฺถิ อยํโลโก เห็นว่า โลกนี้มีอยู่คือ ผู้ที่เกิดมาในโลกนี้มี
๖. อตฺถิ ปโรโลโก เห็นว่า โลกหน้ามีอยู่คือ ผู้ที่จะไปเกิดในโลกอื่นมี
๗. อตฺถิ มาตา เห็นว่า คุณมารดามีอยู่คือ การทำดีทำชั่วต่อมารดานั้น ย่อมจะต้องได้รับผลดีผลร้าย
๘. อตฺถิ ปิตา เห็นว่า คุณบิดามีอยู่คือ การทำดีทำชั่วต่อบิดา ย่อมจะต้องได้รับผลดีผลร้าย
๙. อตฺถิ สตฺตาโอปปาติกา เห็นว่า สัตว์ที่เกิดขึ้น ปรากฏกายโตทันทีนั้นมีอยู่ ได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉานบางจำพวก เทวดา และพรหม
๑๐. อตฺถิ โลเกสมณพรหฺมณา สมฺมาปฏิปันนา เห็นว่า สมณพราหมณ์ ผู้ปฏิบัติดี ผู้ปฏิบัติชอบ ประจักษ์แจ้งโลกนี้และโลกหน้าด้วยตนเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นได้รู้ตามนั้นมีอยู่

ปัญญาที่รู้ความจริงทั้ง ๑๐ ประการดังกล่าวแล้วนี้ชื่อ กัมมัสสกตาญาณ คือรู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนโดยแท้

กัมมัสสกตาปัญญา และวิปัสสนาปัญญาทั้ง ๒ นี้ จัดว่าเป็นโลกียปัญญาคือปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการรู้โลกียอารมณ์ มีรูปารมณ์เป็นต้น ตามความเป็นจริงซึ่งได้แก่ปัญญา ที่ประกอบในกามาวจรโสภณญาณสัมปยุตจิต ๑๒ ดวง และมหัคคตจิต ๒๗ ดวง ส่วนโลกุตตรปัญญานั้น เป็นปัญญาที่ไม่เกี่ยวกับการรู้โลกียอารมณ์ แต่เป็นการรู้นิพพานอารมณ์ อันเป็นอารมณ์พิเศษที่พ้นจากการปรุงแต่งใดๆ ในโลก ได้แก่ ปัญญา ที่ประกอบในโลกุตตรจิต ๘ ดวง หรือ ๔๐ ดวง