ตอบปัญหาปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ว่าด้วยรูป

 ความเดิมจากตอนที่แล้ว 👉ว่าด้วยกาม


เมื่อเหล่าภิกษุสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ที่ยังไม่ได้เป็นอริยบุคคล นับตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ถูกเหล่า
เดียรถีย์นักบวชนอกศาสนา ตั้งคำถาม ถามขึ้นมาว่า "พระสมณโคดมบัญญัติข้อควรกำหนดรู้ในกาม กำหนดรู้ในรูป กำหนดรู้ในเวทนา กำหนดรู้พวกนี้สำนักเราก็กำหนดรู้ได้ แล้วมันจะต่างอะไรกันกับสำนักท่าน ที่พระพระสมณโคดมเป็นผู้กำหนด"

เหล่าภิกษุผู้ที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอริยบุคคล ไม่มีใครสามารถตอบคำถามหรือทำลายวาทะจาบจ้วงตีเสมอของพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ได้สักคน เลยได้แต่นั่งนิ่ง คอตก หลบสายตา รอเวลาออกบิณฑบาตร เมื่อฉันภัตเสร็จกิจเรียบร้อยแล้วเหล่าภิกษุ จึงเข้าไปถามหาคำตอบถึงความแตกต่างในเรื่อง กาม รูป เวทนา จากพระพุทธองค์

🔅ว่าด้วยเรื่องของ รูป

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นคุณของรูปทั้งหลาย?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เหมือนอย่างว่า นางสาวเผ่ากษัตริย์ เผ่าพราหมณ์ หรือเผ่าคฤหบดีมีอายุระบุได้ว่า ๑๕ ปี หรือ ๑๖ ปี ไม่สูงเกินไป ไม่ต่ำเกินไป ไม่ผอมเกินไป ไม่อ้วนเกินไป ไม่ดำเกินไป ไม่ขาวเกินไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้นนางคนนั้น งดงามเปล่งปลั่งเป็นอย่างยิ่ง ใช่หรือไม่เล่า?" พวกภิกษุ พากันกราบทูลว่า "เป็นเช่นนั้นพระเจ้าข้า"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความสุข
ความโสมนัสอันใดแล ที่บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความงามเปล่งปลั่ง นี้เป็นคุณของรูปทั้งหลาย"(ดูแล้วเห็นแล้ว สบายตา สบายใจ ชื่นใจ สุขใจ) 

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นโทษของรูปทั้งหลาย?
บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละในโลกนี้ ในสมัยใด เมื่อมีอายุ ๘๐-๙๐ หรือ ๑๐๐ ปี โดยกำเนิดเป็นยายแก่ มีซี่โครงคดดังกลอนเรือนร่างขดงอ ถือไม้เท้ากระงกกระเงิ่น เดินสั่นระทวย กระสับกระส่าย ผ่านวัยเยาว์ไปแล้วมีฟันหลุด ผมหงอก ผมโกร๋น ศีรษะล้าน เนื้อเหี่ยว มีตัว ตกกระ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในครั้งก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?" (ดูแล้วเห็นแล้ว ไม่สบายตา ไม่สบายใจ หดหู่ ทุกข์ใจ) พวกภิกษุ พากันกราบทูลว่า "เป็นเช่นนั้นพระเจ้าข้า"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้ก็เป็นโทษของรูปทั้งหลายอีก"

"ประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละมีอาพาธ มีทุกข์เจ็บหนัก นอนจมมูตรคูถของตน ต้องให้คนอื่นพยุงลุก ต้องให้คนอื่นคอยประคอง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?" พวกภิกษุ พากันกราบทูลว่า "เป็นเช่นนั้นพระเจ้าข้า"

"ประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละเป็นซากศพถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ตายได้ ๑ วันก็ดี ตายได้ ๒ วันก็ดี ตายได้ ๓ วันก็ดี เป็นซากศพขึ้นพองก็ดี มีสีเขียวก็ดี เกิดหนอนชอนไชก็ดี ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?" พวกภิกษุ พากันกราบทูลว่า "เป็นเช่นนั้นพระเจ้าข้า"

"ประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละเป็นซากศพถูกทิ้งไว้ในป่าช้า ฝูงการุมกันจิกกินบ้าง ฝูงแร้งรุมกันจิกกินบ้าง ฝูงนกเค้ารุมกันจิกกินบ้าง ฝูงสุนัขรุมกันกัดกินบ้าง ฝูงสุนัขจิ้งจอกรุมกันกัดกินบ้าง ฝูงปาณกชาติต่างๆ รุมกันกัดกินบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?" พวกภิกษุ พากันกราบทูลว่า "เป็นเช่นนั้นพระเจ้าข้า"

"ประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวคนนั้นแหละเป็นซากศพถูกทิ้งไว้ในป่าช้า มีแต่โครงกระดูก มีเนื้อและเลือดติดอยู่ มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ มีแต่โครงกระดูก ปราศจากเนื้อเปื้อนเลือด มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ มีแต่โครงกระดูกปราศจากเนื้อและเลือด มีเอ็นยึดอยู่ ฯลฯ เป็นแต่กระดูก ปราศจากเอ็นยึด กระจัดกระจายไปในทิศน้อยทิศใหญ่ คือ กระดูกมือทางหนึ่ง กระดูกเท้าทางหนึ่ง กระดูกแข้งทางหนึ่ง กระดูกขาทางหนึ่ง กระดูกสะเอวทางหนึ่ง กระดูกสันหลัง ทางหนึ่ง กระดูกซี่โครงทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกทางหนึ่ง กระดูกแขนทางหนึ่ง กระดูกไหล่ทาง หนึ่ง กระดูกคอทางหนึ่ง กระดูกคางทางหนึ่ง กระดูกฟันทางหนึ่ง หัวกะโหลกทางหนึ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่งที่มีในก่อนนั้นหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?" พวกภิกษุ พากันกราบทูลว่า "เป็นเช่นนั้นพระเจ้าข้า"

"ประการหนึ่ง บุคคลพึงเห็นนางสาวนั้นแหละ เป็นซากศพถูกทิ้งไว้ในป่าช้า เหลือแต่กระดูกสีขาว เปรียบเทียบได้กับสีสังข์ ฯลฯ เหลือแต่กระดูกตกค้างแรมปีเรียงรายเป็นหย่อมๆ ฯลฯ เหลือแต่กระดูกผุแหลกยุ่ย ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญข้อนั้นอย่างไร ความงดงาม ความเปล่งปลั่ง ที่มีในก่อนหายไปแล้ว โทษปรากฏแล้วมิใช่หรือ?" พวกภิกษุ พากันกราบทูลว่า "เป็นเช่นนั้นพระเจ้าข้า"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้ต่างเป็นโทษของรูปทั้งหลาย"


🙏แทรกอรรถาธิบาย
รูป ไม่ว่าจะมองอะไรแล้วรู้สึกว่าสุขใจ มันก็สุขเพราะกามสุข มีระยะเวลาจำกัดแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกสุข เช่นมองที่รูปร่างกาย มองบุตร มองสามี ภรรยา ฯ ณ.เวลาหนึ่งเราเห็นรูปนั้นแล้วสบายตาสบายใจก็ขอให้พึงระลึกไว้ว่า ณ.อีกเวลาหนึ่ง รูปนั้นก็ต้องมีอันเปลี่ยนแปลง มีอันวิบัติ แตกทำลาย สูญสลายไปตามธรรมดา ตามกฏไตรลักษณ์ นั้นเพราะอะไร? เพราะโลกธาตุนี้มีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่เหมือนโลกฝั่งนิพพานธาตุ พระพุทธองค์ก่อนจะออกบวช ท่านเห็นรูปของมนุษย์ที่ไม่น่ายินดี ไม่น่าพอใจเพียงครั้งเดียวก็เกิดความสลดสังเวช เกิดทุกข์ใจท่วมท้นจนทนอยู่ไม่ได้ต้องหาทางหาวิธีหลุดพ้น ส่วนมนุษย์ปถุชนทั่วไป เห็นรูปแล้วชอบใจก็อยากเห็นอีก เห็นรูปสวยๆงามๆ เห็นแล้วก็ชื่นใจ คอยเฝ้า คอยติดตามเป็นแฟนคลับ ดูว่าเขาจะทำอะไรดูแล้วปรุงแต่งสังขารทางความคิดให้วิจิตรพิศดาร เมื่อรูปหนึ่งแปรเปลี่ยนไป ความโทมนัสก็เกิดขึ้นในจิตก่อเป็นทุกขเวทนาว่ารูปที่เคยสวยงาม รูปที่เราเคยพอใจ บัดนี้รูปนั้นวิบัติไปแล้ว เปลี่ยนไปแล้ว ความส้องเสพแสวงหากามคุณก็จะเล่นงานให้ต้องหารูปอย่างอื่นมาเสพสนองต่อ เมื่อหามาเสพได้ใหม่ฉันทราคะก็เกิดความพอใจยินดีด้วยโมหะคิดไปว่านั่นน่ะแหล่ะคือความสุข ได้สนองความสุขแล้ว แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงความสุขปลอมๆ ความสุขที่เจือด้วยกิเลส สุขจากวัตถุภายนอก มันไม่ใช่สุขที่แท้จริงเพราะมันย่อมถูกความแปรเปลี่ยนถูกเบียดเบียนให้คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ในทุกขณะ เราแค่เสพเสวยดื่มด่ำมันอยู่ชั่วครู่ชั่วคราวแล้วก็แสวงหากันใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปในทุกภพทุกชาติ ก็อย่างที่ว่าไว้ พระเจ้าสุทโธนะพระบิดาเจ้าชายสิตธัตถะราชกุมารจับคนแก่ คนเจ็บ คนพิการ คนตาย แยกออกไปจากกบิลภัสด์ุ ไปสร้างหมู่บ้านคนแก่ คนเจ็บ คนใกล้ตาย อยู่นอกเมือง

เจ้าชายตั้งแต่เกิดจนพระชนม์ ๒๙ ชันษา เห็นแต่รูปที่เจริญตาเจริญใจ นั่นคือเห็นแต่รูปฝ่ายที่เป็นคุณมาตลอด รูปที่เป็นคุณก็มาจากบุญกุศลผลกรรมเก่านั่นแหล่ะที่ทำให้เห็นรูปที่เจริญตาเจริญใจ (ทบทวนได้ใน 👉รูปสมุทเทสนัย) แต่เมื่อได้เห็นรูปที่ไม่เจริญตาไม่เจริญใจแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าชายก็เกิดความสลดสังเวช มีดำริขึ้นมาว่าจะทำอย่างไรดีหนอ มนุษย์ทั้งหลายจักพ้นจากความทุกข์ของความแก่ ความเจ็บ ความตายเหล่านี้ไปได้ ครุ่นคริดในวังคิดไปก็คิดไม่ออกเพราะไม่ใช่สถานที่สงบสำหรับวิปัสนาธรรม จนเห็นรูปของสมณะนักบวชเดินผ่านตานั่นแหล่ะท่านจึงมีดำริถึงการออกบวช


"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่า เป็นการถ่ายถอนของรูปทั้งหลาย?
ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย การกำจัดฉันทราคะ(ความพอใจที่ได้ส้องเสพ)ในรูปทั้งหลาย การละฉันทราคะในรูปทั้งหลายนั้นได้ นี้เป็นการถ่ายถอนของรูปทั้งหลาย"

"ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง ไม่รู้ชัดคุณของรูปโดยความเป็นคุณ ไม่รู้ชัดโทษของรูปโดยความเป็นโทษ และไม่รู้ชัดการถ่ายถอนของรูปทั้งหลาย อย่างที่กล่าวมานี้ตามความเป็นจริง ชนพวกนั้นน่ะหรือ จักรอบรู้ได้ด้วยตนเองหรือว่าจักชักจูงผู้อื่นให้รอบรู้รูปทั้งหลายได้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าหนึ่ง รู้ชัดคุณของรูปทั้งหลายโดยความเป็นคุณ รู้ชัดโทษของรูปโดยความเป็นโทษ และรู้ชัดการถ่ายถอนของรูปทั้งหลายโดยความเป็นการถ่ายถอน อย่างที่กล่าวมานี้ ตามความเป็นจริง ชนพวกนั้นแหละหนอ จักรอบรู้รูปทั้งหลายด้วยตนเองได้ และจักชักจูงผู้อื่นให้รอบรู้ตามได้ ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้"



อ่านต่อ ตอบปัญหาปริพาชกอัญญเดียรถีย์ 🔅 ว่าด้วยกาม
อ่านต่อ ตอบปัญหาปริพาชกอัญญเดียรถีย์ 🔅
ว่าด้วยรูป
อ่านต่อ ตอบปัญหาปริพาชกอัญญเดียรถีย์ 🔅ว่าด้วยเวทนา


วิกิ

ผลการค้นหา