ความเศร้าหมองและความผ่องแผ้วของศีล
ปัญหากรรมใดที่ข้าพเจ้ากล่าวมาแล้วว่า “อะไรเป็นความเศร้าหมองเป็นความผ่องแผ้วของศีลนั้น” ข้าพเจ้าจะวิสัชนาในปัญหากรรมนั้นต่อไป ดังนี้
ภาวะที่ ศีลขาด เป็นต้น เป็นความเศร้าหมองของศีล
ภาวะที่ ศีลไม่ขาด เป็นต้น เป็นความผ่องแผ้วของศีล
ภาวะที่ ศีลขาด เป็นต้น เป็นความเศร้าหมองของศีล
ภาวะที่ ศีลไม่ขาด เป็นต้น เป็นความผ่องแผ้วของศีล
ความเศร้าหมองของศีล ก็แหละ ภาวะที่ศีลขาดเป็นต้นนั้นท่านสงเคราะห์ด้วยความแตกต่างซึ่งมีลาภและยศเป็นต้นเป็นเหตุอย่างหนึ่ง ด้วยเมถุนสังโยค ๗ ประการอย่างหนึ่ง จริงอย่างนั้น ในบรรดาอาบัติ ๗ กอง
สิกขาบทของภิกษุใด ขาดเบื้องต้นหรือที่สุด ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าเป็น ศีลขาด เหมือนผ้าที่ขาดชาย
ส่วนสิกขาบทของภิกษุใด ขาดตรงกลาง ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าเป็น ศีลทะลุ เหมือนผ้าที่ทะลุกลางผืน
สิกขาบทของภิกษุใด ขาดสอง, สามสิกขาบทไปตามลำดับ ศีลของภิกษุนั้นชื่อเป็น ศีลด่าง เหมือนแม่โคมีสีตัวเป็นสีด่างดำหรือด่างแดงเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยสีที่ไม่เหมือนกันซึ่งปรากฏขึ้นที่หลังหรือที่ท้อง
สิกขาบทของภิกษุใดขาดเป็นตอน ๆ ไป ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าเป็น ศีลพร้อย เหมือนแม่โคลายเป็นจุดด้วยสีที่ไม่เหมือนกันเป็นระยะ ๆ ไป
ภาวะที่ศีลขาดเป็นต้นย่อมมีด้วยความแตกต่างซึ่งมีลาภเป็นต้นเป็นเหตุด้วยประการดังอธิบายมานี้
ส่วนสิกขาบทของภิกษุใด ขาดตรงกลาง ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าเป็น ศีลทะลุ เหมือนผ้าที่ทะลุกลางผืน
สิกขาบทของภิกษุใด ขาดสอง, สามสิกขาบทไปตามลำดับ ศีลของภิกษุนั้นชื่อเป็น ศีลด่าง เหมือนแม่โคมีสีตัวเป็นสีด่างดำหรือด่างแดงเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยสีที่ไม่เหมือนกันซึ่งปรากฏขึ้นที่หลังหรือที่ท้อง
สิกขาบทของภิกษุใดขาดเป็นตอน ๆ ไป ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าเป็น ศีลพร้อย เหมือนแม่โคลายเป็นจุดด้วยสีที่ไม่เหมือนกันเป็นระยะ ๆ ไป
ภาวะที่ศีลขาดเป็นต้นย่อมมีด้วยความแตกต่างซึ่งมีลาภเป็นต้นเป็นเหตุด้วยประการดังอธิบายมานี้
เมถุนสังโยค ๗ ภาวะที่ศีลขาดด้วยอำนาจแห่งเมถุนสังโยค ๗ ประการ มีอรรถาธิบายดังจะบรรยายต่อไปนี้ จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ดังนี้ :-
๑. พราหมณ์ สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ปฏิญญาณตนว่าเป็นพรหมจารีโดยชอบ หาได้ถึงซึ่งความร่วมกันสองต่อสองกับมาตุคามไม่ ก็แต่ว่ายังยินดีการลูบคลำ, การขัดสี, การให้อาบและการนวดของมาตุคาม เขายินดีปรารถนาต่อการบำเรอนั้นและถึงซึ่งความปลื้มใจด้วยการบำเรอนั้น ความยินดีต่อการบำเรอแห่งมาตุคามนี้ จัดเป็นความขาดบ้าง ความทะลุบ้าง ความด่างบ้าง ความพร้อยบ้าง ของพรหมจรรย์ พราหมณ์ สมณะหรือพราหมณ์นี้ เรากล่าวว่า เขาประพฤติพรหมจรรย์ไม่บริสุทธิ์ประกอบด้วยเมถุนสังโยค ย่อมไม่พ้นจากชาติ ชรา มรณะ ฯลฯ เรากล่าวได้ว่าเขาย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์
๒. พราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ปฏิญญาณตนว่าเป็นพรหมจารีโดยชอบ หาได้ถึงซึ่งความร่วมกันสองต่อสองกับมาตุคามไม่เลย แม้การลูบคลำ ของมาตุคามก็มิได้ยินดี ก็แต่ว่ายังกระซิกกระชี้เล่นหัวและยังล้อเลียนกับมาตุคามอยู่ เขายินดีต่อการกระซิกกระชี้เป็นต้นนั้น เรากล่าวได้ว่าเขาย่อมไม่พ้นจากทุกข์
๓. พราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ปฏิญญาณตนว่าเป็นพรหมจารีโดยชอบ หาได้ถึงความร่วมกันสองต่อสองกับมาตุคามไม่เลย แม้การลูบคลำ ของมาตุคามก็มิได้ยินดี ทั้งไม่กระซิกกระชี้ ไม่เล่นหัว ไม่ล้อเลียนกับมาตุคาม ก็แต่ว่ายังชอบเพ่งดูตาต่อตาของมาตุคาม เขายินดีต่อการเพ่งดูนั้นเรากล่าวได้ว่าเขาย่อมไม่พ้นจากทุกข์
๓. พราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ ปฏิญญาณตนว่าเป็นพรหมจารีโดยชอบ หาได้ถึงความร่วมกันสองต่อสองกับมาตุคามไม่เลย แม้การลูบคลำ ของมาตุคามก็มิได้ยินดี ทั้งไม่กระซิกกระชี้ ไม่เล่นหัว ไม่ล้อเลียนกับมาตุคาม ก็แต่ว่ายังชอบเพ่งดูตาต่อตาของมาตุคาม เขายินดีต่อการเพ่งดูนั้นเรากล่าวได้ว่าเขาย่อมไม่พ้นจากทุกข์
๔. พราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ หาได้ถึงซึ่งความร่วมกันสองต่อสองกับมาตุคามไม่เลย แม้การลูบคลำ ของมาตุคามก็มิได้ยินดี ทั้งมิได้กระซิกกระชี้เล่นหัว ทั้งมิได้ล้อเลียนกับมาตุคาม ทั้งไม่ชอบเพ่งดูตาต่อตาของมาตุคาม ก็แต่ว่ายังชอบฟังเสียงของมาตุคาม ผู้หัวเราะอยู่ก็ดี พูดอยู่ก็ดี ร้องเพลงอยู่ก็ดี ร้องให้อยู่ก็ดี ภายนอกฝาหรือภายนอกกำแพงก็ตาม เขายินดีต่อเสียงนั้น เรากล่าวได้ว่าเขาย่อมไม่พ้นจากทุกข์
๕. พราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ หาได้ถึงซึ่งความร่วมกันสองต่อสองกับมาตุคามไม่เลย แม้การลูบคลำ ของมาตุคาม ก็มิได้ยินดี ทั้งมิได้กระซิกกระชี้เล่นหัว ทั้งมิได้ล้อเลียนกับมาตุคาม ทั้งไม่ชอบเพ่งดูตาต่อตาของมาตุคาม ทั้งไม่ชอบฟังเสียงมาตุคาม ผู้หัวเราะอยู่ก็ดี พูดอยู่ก็ดี ร้องเพลงอยู่ก็ดี ร้องไห้อยู่ก็ดี ภายนอกฝาหรือภายนอกกำแพงก็ตาม ก็แต่ว่ายังระลึกถึงซึ่งการหัวเราะและการพูดจาและการเล่นหัวกับมาตุคามในกาลก่อน เขายินดีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในกาลก่อนนั้น เรากล่าวได้ว่าเขาย่อมไม่พ้นจากทุกข์
๖. พราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ หาได้ถึงซึ่งความร่วมกันสองต่อสองกับมาตุคามไม่เลย แม้การลูบคลำของมาตุคาม ก็มิได้ยินดี แม้การหัวเราะการพูดเล่นหัวกับมาตุคามในกาลก่อน ก็มิได้ระลึกถึง ก็แต่ว่าเขาเห็นคฤหบดีหรือบุตรของคฤหบดี ถูกบำเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕ อย่างเอิบอิ่มเพียบพร้อม เขายินดีต่อการ (ถูก) บำเรอ (ของผู้อื่น) นั้น เรากล่าวได้ว่าเขาย่อมไม่พ้นจากทุกข์
๗. พราหมณ์ อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ หาได้ถึงซึ่งความร่วมกันสองต่อสองกับมาตุคามไม่เลย...หาได้เห็นคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีผู้ถูกบำเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕ อย่างเอิบอิ่มเพียบพร้อมแล้วยินดีไม่ ก็แต่ว่าเขาประพฤติพรหมจรรย์โดยปรารถนาเป็นเทพนิกายเหล่าใดเหล่าหนึ่งว่า “เราจักเป็นเทวดาหรือเทพเจ้าตนใดตนหนึ่งด้วยศีลอันนี้ ด้วยพรตอันนี้ ด้วยตบะอันนี้ หรือด้วยพรหมจรรย์อันนี้ เขายินดีปรารถนาต่อความเป็นเทพนั้น และย่อมถึงซึ่งความปลาบปลื้มด้วยความเป็นเทวดานั้น พราหมณ์ความยินดีด้วยความเป็นเทวดาแม้นี้ จัดเป็นความขาดบ้าง ความทะลุบ้าง ความด่างบ้าง ความพร้อยบ้าง ของพรหมจรรย์” ฉะนี้แล
นักศึกษาพึงทราบว่า ภาวะที่ศีลขาดเป็นต้น ท่านสงเคราะห์ด้วยความแตกต่าง ซึ่งมีลาภเป็นต้นเป็นเหตุอย่างหนึ่ง ด้วยเมถุนสังโยค ๗ ประการอย่างหนึ่ง ด้วยประการดังพรรณนามาฉะนี้