โลกุตฺตร มาจากคำว่า โลก+อุตฺตร
โลก หมายถึง กามโลก (กามภูมิ) รูปโลก (รูปภูมิ) และอรูปโลก (อรูปภูมิ)
อุตฺตร หมายถึง เหนือ หรือพ้น ฉะนั้น คำว่า โลกุตตร จึงหมายถึงธรรมที่เหนือโลกทั้ง ๓ ธรรมที่พ้นจากโลกทั้ง ๓ อันหมายถึง นิพพาน ดังนั้น โลกุตตรจิต จึงหมายถึง จิตที่มี นิพพานเป็นอารมณ์
โลก หมายถึง กามโลก (กามภูมิ) รูปโลก (รูปภูมิ) และอรูปโลก (อรูปภูมิ)
อุตฺตร หมายถึง เหนือ หรือพ้น ฉะนั้น คำว่า โลกุตตร จึงหมายถึงธรรมที่เหนือโลกทั้ง ๓ ธรรมที่พ้นจากโลกทั้ง ๓ อันหมายถึง นิพพาน ดังนั้น โลกุตตรจิต จึงหมายถึง จิตที่มี นิพพานเป็นอารมณ์
โลกุตตรจิตนั้นมี ๒ ชาติ คือ ชาติกุศล เรียกว่า โลกุตตรกุศลจิต หรือ มรรคจิต มีจำนวน ๔ ดวง ชาติวิปาก เรียกว่า โลกุตตรวิปากจิต หรือ ผลจิต มีจำนวน ๔ ดวง เช่นกัน รวมเป็น โลกุตตรจิต ๘ ดวง
โลกุตตรกุศลจิต หรือมัคคจิต ๔ ดวง
โลกุตตรกุศลจิต หรือ อีกนัยหนึ่ง เรียกว่า มัคคจิต เป็นจิตที่พ้นโลก เป็นจิตที่ประหาณอนุสัยกิเลส เป็นสมุจเฉทปหาน กล่าวโดยย่อ มีจำนวน ๔ ดวง คือ
ดวงที่ ๑ โสดาปัตติมัคคจิต
ดวงที่ ๒ สกทาคามิมัคคจิต
ดวงที่ ๓ อนาคามิมัคคจิต
ดวงที่ ๔ อรหัตตมัคคจิต
โลกุตตรกุศลจิต หรือ อีกนัยหนึ่ง เรียกว่า มัคคจิต เป็นจิตที่พ้นโลก เป็นจิตที่ประหาณอนุสัยกิเลส เป็นสมุจเฉทปหาน กล่าวโดยย่อ มีจำนวน ๔ ดวง คือ
ดวงที่ ๑ โสดาปัตติมัคคจิต
ดวงที่ ๒ สกทาคามิมัคคจิต
ดวงที่ ๓ อนาคามิมัคคจิต
ดวงที่ ๔ อรหัตตมัคคจิต
โลกุตตรวิปากจิต หรือผลจิต ๔ ดวง
โลกุตตรวิปากจิต หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ผลจิต เป็นจิตที่เป็นผลของโล กุตตรกุศลจิต เป็นจิตที่พ้นจากโลก เป็นจิตที่ประหาณแล้วซึ่งอนุสัยกิเลส เป็นปฏิปัสสัทธิปหาน คือละได้โดยสงบ เมื่อมัคคจิตเกิดขึ้นและดับลงแล้ว ผลจิตก็จะเกิดติดต่อกันทันทีทันใด โดยไม่มีระหว่างคั่น คือ ไม่มีจิตใดเกิดขึ้นมาคั่นเลย ดังนั้นจึงเรียกมัคคจิตว่า “ อกาลิโก” เพราะเป็นเหตุให้ผลจิตเกิดขึ้นในปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอกาล รอเวลา ผลจิต ๔ เมื่อกล่าวโดยย่อ มีจำนวน ๔ ดวง คือ
ดวงที่ ๑ โสดาปัตติผลจิต
ดวงที่ ๒ สกทาคามิผลจิต
ดวงที่ ๓ อนาคามิผลจิต
ดวงที่ ๔ อรหัตตผลจิต
โลกุตตรวิปากจิต หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ผลจิต เป็นจิตที่เป็นผลของโล กุตตรกุศลจิต เป็นจิตที่พ้นจากโลก เป็นจิตที่ประหาณแล้วซึ่งอนุสัยกิเลส เป็นปฏิปัสสัทธิปหาน คือละได้โดยสงบ เมื่อมัคคจิตเกิดขึ้นและดับลงแล้ว ผลจิตก็จะเกิดติดต่อกันทันทีทันใด โดยไม่มีระหว่างคั่น คือ ไม่มีจิตใดเกิดขึ้นมาคั่นเลย ดังนั้นจึงเรียกมัคคจิตว่า “ อกาลิโก” เพราะเป็นเหตุให้ผลจิตเกิดขึ้นในปัจจุบันทันที ไม่ต้องรอกาล รอเวลา ผลจิต ๔ เมื่อกล่าวโดยย่อ มีจำนวน ๔ ดวง คือ
ดวงที่ ๑ โสดาปัตติผลจิต
ดวงที่ ๒ สกทาคามิผลจิต
ดวงที่ ๓ อนาคามิผลจิต
ดวงที่ ๔ อรหัตตผลจิต
เมื่อโสดาปัตติมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด โสดาปัตติผลจิต จะเกิดแก่บุคคลนั้นทันทีเป็นโสดาบันบุคคล
เมื่อสกทาคามิมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด สกทาคามิผลจิต จะเกิดแก่บุคคลนั้นทันทีเป็น
สกทาคามีบุคคล
เมื่ออนาคามิมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด อนาคามิผลจิต จะเกิดแก่บุคคลนั้นทันทีเป็น อนาคามีบุคคล
เมื่ออรหัตตมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด อรหัตตผลจิต จะเกิดแก่บุคคลนั้นทันทีเป็น
อรหันตบุคคล
เมื่อสกทาคามิมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด สกทาคามิผลจิต จะเกิดแก่บุคคลนั้นทันทีเป็น
สกทาคามีบุคคล
เมื่ออนาคามิมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด อนาคามิผลจิต จะเกิดแก่บุคคลนั้นทันทีเป็น อนาคามีบุคคล
เมื่ออรหัตตมัคคจิต เกิดขึ้นแก่บุคคลใด อรหัตตผลจิต จะเกิดแก่บุคคลนั้นทันทีเป็น
อรหันตบุคคล
กิเลส ๓ ระดับ
กิเลสทั้งหมดจะเข้าประกอบเฉพาะกับอกุศลจิตเท่านั้น การประหาณกิเลสก็คือการประหาณอกุศลจิตทั้ง ๑๒ ดวงนั้นเอง กิเลสแบ่งได้เป็น ๓ ระดับ การประหาณกิเลสแต่ละระดับจะต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกันดังนี้
๑. วีติกกมกิเลส คือ กิเลสอย่างหยาบ ที่แสดงออกมาทางกายหรือทางวาจา กิเลสชั้นนี้ระงับไว้ได้ด้วยศีล สงบได้เป็นครั้งคราวขณะที่ยังมีการรักษาศีลอยู่ การประหาณในลักษณะนี้เรียกว่า ตทังคปหาน
๒. ปริยุฏฐานกิเลส คือ กิเลสอย่างกลาง ที่เกิดอยู่ภายในใจไม่ถึงกับแสดงออกมาทางกาย หรือวาจา ตัวเองรู้ได้ ผู้อื่นบางทีก็รู้ บางทีก็ไม่รู้ กิเลสชนิดนี้สามารถข่มไว้ได้ด้วยอำนาจของสมาธิ (อัปปนาสมาธิ) เป็นเวลานานตราบเท่าที่สมาธิยังไม่เสื่อม การประหาณในลักษณะนี้เรียกว่า วิกขัมภนปหาน
๓. อนุสัยกิเลส คือ กิเลสอย่างละเอียด ที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานของตนเอง และผู้อื่นก็ไม่สามารถรู้ได้นอกจากพระพุทธองค์เท่านั้น ต้องประหาณด้วยปัญญาในมัคคจิตทั้ง ๔ อันเป็นการประหาณได้โดยสิ้นเชื้อ และจะไม่กลับมีขึ้นอีก การประหาณในลักษณะนี้เรียกว่า
สมุจเฉทปหาน
การประหาณกิเลสของพระอริยบุคคล
๑. วีติกกมกิเลส คือ กิเลสอย่างหยาบ ที่แสดงออกมาทางกายหรือทางวาจา กิเลสชั้นนี้ระงับไว้ได้ด้วยศีล สงบได้เป็นครั้งคราวขณะที่ยังมีการรักษาศีลอยู่ การประหาณในลักษณะนี้เรียกว่า ตทังคปหาน
๒. ปริยุฏฐานกิเลส คือ กิเลสอย่างกลาง ที่เกิดอยู่ภายในใจไม่ถึงกับแสดงออกมาทางกาย หรือวาจา ตัวเองรู้ได้ ผู้อื่นบางทีก็รู้ บางทีก็ไม่รู้ กิเลสชนิดนี้สามารถข่มไว้ได้ด้วยอำนาจของสมาธิ (อัปปนาสมาธิ) เป็นเวลานานตราบเท่าที่สมาธิยังไม่เสื่อม การประหาณในลักษณะนี้เรียกว่า วิกขัมภนปหาน
๓. อนุสัยกิเลส คือ กิเลสอย่างละเอียด ที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานของตนเอง และผู้อื่นก็ไม่สามารถรู้ได้นอกจากพระพุทธองค์เท่านั้น ต้องประหาณด้วยปัญญาในมัคคจิตทั้ง ๔ อันเป็นการประหาณได้โดยสิ้นเชื้อ และจะไม่กลับมีขึ้นอีก การประหาณในลักษณะนี้เรียกว่า
สมุจเฉทปหาน
การประหาณกิเลสของพระอริยบุคคล
โสดาปัตติมัคคจิต ประหาณโลภมูลจิตที่ประกอบด้วยความเห็นผิด ๔ ดวง และโมหมูลจิตที่ประกอบด้วยความสงสัย ๑ ดวง
สกทาคามิมัคคจิต ประหาณกิเลสที่เหลือให้มีกำลังเบาบางลง
อนาคามิมัคคจิต ประหาณโทสมูลจิตทั้ง ๒ ดวง
อรหัตตมัคคจิต ประหาณโลภมูลจิต ที่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด ๔ ดวง และ โมหมูลจิตที่ประกอบด้วยความฟุูงซ่าน ๑ ดวง
สกทาคามิมัคคจิต ประหาณกิเลสที่เหลือให้มีกำลังเบาบางลง
อนาคามิมัคคจิต ประหาณโทสมูลจิตทั้ง ๒ ดวง
อรหัตตมัคคจิต ประหาณโลภมูลจิต ที่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด ๔ ดวง และ โมหมูลจิตที่ประกอบด้วยความฟุูงซ่าน ๑ ดวง
รวมมัคคจิต ๔ ดวง ประหาณอกุศลจิตได้ ๑๒ ดวง จึงไม่มีโอกาส เกิดขึ้นอีกเลย เพราะถูกประหาณอย่างสิ้นเชิงด้วยมัคคจิตทั้ง ๔ เหมือนกับ การถอนรากถอนโคนต้นไม้ ไม่มีโอกาสที่จะงอกขึ้นมาได้อีก
ผลของการประหาณกิเลส
๑. เมื่อโสดาปัตติมัคคจิตเกิดขึ้นแก่บุคคลใด
โสดาปัตติผลจิต ก็เกิด ขึ้นกับบุคคลนั้นขึ้นมาทันที ชื่อว่าเป็น โสดาบันบุคคล หรือ เสขะบุคคล คือ บุคคลที่จะต้องศึกษาเพียรพยายามประหาณกิเลสส่วนที่เหลือต่อไปอีก ซึ่ง ต้องใช้เวลาอีกไม่เกิน ๗ ชาติ จึงจะประหาณกิเลสได้หมดแล้วจึงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์
โสดาบันบุคคล มี ๓ ประเภทคือ
ประเภทที่ ๑ เอกพีชีโสดาบัน คือ โสดาบันที่จะเกิดอีกชาติเดียวก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะมีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว
ประเภทที่ ๒ โกลังโกลโสดาบัน คือ โสดาบันที่จะต้องเกิดอีก ๒ -๖ ชาติ ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้มีอินทรีย์ไม่แก่กล้านัก คือปานกลาง
ประเภทที่ ๓ สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน คือ โสดาบันจะต้องเกิดอีก ๗ ชาติ จึงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้มีอินทรีย์อ่อน
ประเภทที่ ๑ เอกพีชีโสดาบัน คือ โสดาบันที่จะเกิดอีกชาติเดียวก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะมีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว
ประเภทที่ ๒ โกลังโกลโสดาบัน คือ โสดาบันที่จะต้องเกิดอีก ๒ -๖ ชาติ ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้มีอินทรีย์ไม่แก่กล้านัก คือปานกลาง
ประเภทที่ ๓ สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน คือ โสดาบันจะต้องเกิดอีก ๗ ชาติ จึงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้มีอินทรีย์อ่อน
เหตุที่พระโสดาบันแบ่งเป็น ๓ ประเภท เนื่องจากการอบรมอินทรีย์ ๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ไม่เท่ากัน คือ อย่างแรงกล้า ปานกลาง และอย่างอ่อน อย่างไรก็ดี พระโสดาบันทั้ง ๓ ประเภทนี้ จะไม่ไปเกิดใน อบายภูมิ ๔ ชื่อว่าได้ปิดประตูอบายได้อย่างแน่นอนแต่จะไปเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง ยังมีพระโสดาบันอีกประเภทหนึ่ง ที่มีอัธยาศัยยินดีพอใจในการ ท่องเที่ยวไปในวัฏฏะจนครบ ๗ ชาติ เรียกว่า วัฏฏภิรตโสดาบัน จะไปเกิด ในเทวโลกทั้ง ๖ ชั้น ตลอดจนถึงอกนิฏฐภูมิ เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี วิสาขามหาอุบาสิกา ท้าวสักกเทวราช เป็นต้น
๒. เมื่อสกทาคามิมัคคจิตเกิดขึ้นแก่บุคคลใด
สกทาคามิผลจิตย่อม เกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น ทำให้สำเร็จเป็นสกทาคามีบุคคล สามารถเข้าเสวย วิมุตติสุข (ความสุขที่เกิดจากผลของการประหาณกิเลสของสกทาคามิมัคค จิต) ขณะเข้าผลสมาบัติได้ ซึ่งจะกลับมาเกิดในมนุษยโลกอีกเพียงครั้งเดียว และสำเร็จเป็นพระอรหันต์
สกทาคามิผลจิตย่อม เกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น ทำให้สำเร็จเป็นสกทาคามีบุคคล สามารถเข้าเสวย วิมุตติสุข (ความสุขที่เกิดจากผลของการประหาณกิเลสของสกทาคามิมัคค จิต) ขณะเข้าผลสมาบัติได้ ซึ่งจะกลับมาเกิดในมนุษยโลกอีกเพียงครั้งเดียว และสำเร็จเป็นพระอรหันต์
พระสกทาคามีบุคคล มี ๕ ประเภท คือ
ประเภทที่ ๑ ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยโลก แล้วทำความเพียรจนสำเร็จพระอรหันต์
ประเภทที่ ๒ ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในเทวโลก แล้วทำความเพียรจนสำเร็จพระอรหันต์
ประเภทที่ ๓ ผู้สำร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยโลกไปเกิดบนเทวโลก แล้วทำความเพียรจนสำเร็จพระอรหันต
ประเภทที่ ๔ ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในเทวโลก มาเกิดในมนุษยโลก แล้วทำความเพียรจนสำเร็จพระอรหันต์
ประเภทที่ ๕ ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยโลก ไปเกิดบนเทวโลก แล้วกลับมาเกิดใน มนุษยโลกอีกครั้งหนึ่งทำความเพียรแล้วบรรลุพระอรหันต์
ประเภทที่ ๑ ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยโลก แล้วทำความเพียรจนสำเร็จพระอรหันต์
ประเภทที่ ๒ ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในเทวโลก แล้วทำความเพียรจนสำเร็จพระอรหันต์
ประเภทที่ ๓ ผู้สำร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยโลกไปเกิดบนเทวโลก แล้วทำความเพียรจนสำเร็จพระอรหันต
ประเภทที่ ๔ ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในเทวโลก มาเกิดในมนุษยโลก แล้วทำความเพียรจนสำเร็จพระอรหันต์
ประเภทที่ ๕ ผู้สำเร็จเป็นพระสกทาคามีในมนุษยโลก ไปเกิดบนเทวโลก แล้วกลับมาเกิดใน มนุษยโลกอีกครั้งหนึ่งทำความเพียรแล้วบรรลุพระอรหันต์
๓. เมื่อพระอนาคามิมัคคจิตเกิดขึ้นแก่บุคคลใด อนาคามิผลจิตย่อมเกิดแก่บุคคลนั้นทันที สำเร็จเป็นพระอนาคามีบุคคล ซึ่งจะไม่มาเกิดใหม่ในมนุษยโลกอีก จะไปเกิดในสุทธาวาสภูมิ ๕ คือ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา หรือจะไปเกิดในรูปภูมิ ๑๐ ที่นอกจากสุทธาวาส ๕ อสัญญสัตตภูมิ ๑ และอรูปภูมิ ๔
พระอนาคามีบุคคล มี ๕ ประเภท คือ
ประเภทที่ ๑ พระอนาคามีที่เกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต์แล้วนิพพานในกึ่งแรกของอายุในภูมินั้น
ประเภทที่ ๒ พระอนาคามีที่เกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต์แล้วนิพพานในกึ่งหลังของอายุในภูมินั้น
ประเภทที่ ๓ พระอนาคามีที่เกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต์โดยไม่ต้องใช้ความเพียรมากแล้วนิพพาน
ประเภทที่ ๔ พระอนาคามีที่เกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต์ ต้องใช้ความเพียรมาก แล้วนิพพาน
ประเภทที่ ๕ พระอนาคามีเกิดในสุทธาวาสตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึง ชั้นที่ ๕ ตามลำดับ แล้วเข้านิพพานในชั้นที่ ๕ นั้น
ประเภทที่ ๑ พระอนาคามีที่เกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต์แล้วนิพพานในกึ่งแรกของอายุในภูมินั้น
ประเภทที่ ๒ พระอนาคามีที่เกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต์แล้วนิพพานในกึ่งหลังของอายุในภูมินั้น
ประเภทที่ ๓ พระอนาคามีที่เกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต์โดยไม่ต้องใช้ความเพียรมากแล้วนิพพาน
ประเภทที่ ๔ พระอนาคามีที่เกิดในพรหมโลกชั้นใดชั้นหนึ่ง บรรลุพระอรหันต์ ต้องใช้ความเพียรมาก แล้วนิพพาน
ประเภทที่ ๕ พระอนาคามีเกิดในสุทธาวาสตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึง ชั้นที่ ๕ ตามลำดับ แล้วเข้านิพพานในชั้นที่ ๕ นั้น
๔. เมื่ออรหัตตมัคคจิตเกิดขึ้นแก่บุคคลใด
อรหัตตผลจิต ก็จะบังเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นทันที บรรลุเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นการประหาณกิเลสขั้นสุดท้าย คือโลภมูลจิตที่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด ๔ ดวง และโมหมูลจิตที่ประกอบด้วยความฟุูงซ่าน ๑ ดวง เป็นการประหาณอกุศลจิต ๑๒ ครบถ้วน อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง ก็จะหมดไปโดยสิ้นเชิง เพราะไม่มีที่จะอาศัยเกิด (อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง จะประกอบกับอกุศลมูลจิต ๑๒ ดวง เท่านั้น)
อรหัตตผลจิต ก็จะบังเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นทันที บรรลุเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นการประหาณกิเลสขั้นสุดท้าย คือโลภมูลจิตที่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด ๔ ดวง และโมหมูลจิตที่ประกอบด้วยความฟุูงซ่าน ๑ ดวง เป็นการประหาณอกุศลจิต ๑๒ ครบถ้วน อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง ก็จะหมดไปโดยสิ้นเชิง เพราะไม่มีที่จะอาศัยเกิด (อกุศลเจตสิก ๑๔ ดวง จะประกอบกับอกุศลมูลจิต ๑๒ ดวง เท่านั้น)
พระอรหันต์
๑. พระอรหันต์ การเรียกชื่อพระอรหันต์ เรียกตามคุณลักษณะ มี ๔ ชื่อ
๒. พระอรหันต์ แบ่งตามลักษณะของการหลุดพ้นจากอาสว กิเลส มี ๒ ประเภท
๓. พระอรหันต์ แบ่งตามลักษณะระยะเวลาการสร้างบารมี มี ๓ ประเภท
๔. พระอรหันต์ แบ่งตามลักษณะปัญญาที่รู้พิเศษ มี ๒ ประเภท
๕. พระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ที่บรรลุอภิญญา
๒. พระอรหันต์ แบ่งตามลักษณะของการหลุดพ้นจากอาสว กิเลส มี ๒ ประเภท
๓. พระอรหันต์ แบ่งตามลักษณะระยะเวลาการสร้างบารมี มี ๓ ประเภท
๔. พระอรหันต์ แบ่งตามลักษณะปัญญาที่รู้พิเศษ มี ๒ ประเภท
๕. พระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์ที่บรรลุอภิญญา
๑. พระอรหันต์ เป็นการเรียกชื่อพระอรหันต์ตามคุณลักษณะ มี ๔ ชื่อ คือ
ชื่อที่ ๑. พระอรหันต์ หมายถึง ผู้บริสุทธิ์จากกิเลส
ชื่อที่ ๒. พระขีณาสพ หมายถึง ผู้สิ้นแล้วซึ่งอาสวกิเลส
ชื่อที่ ๓. อเสขบุคคล หมายถึง ผู้ไม่ต้องศึกษา (ศีล สมาธิ ปัญญา) ต่อไปอีก
ชื่อที่ ๔. วีตราคะ หมายถึง ผู้สำรอกราคะแล้ว
ชื่อที่ ๑. พระอรหันต์ หมายถึง ผู้บริสุทธิ์จากกิเลส
ชื่อที่ ๒. พระขีณาสพ หมายถึง ผู้สิ้นแล้วซึ่งอาสวกิเลส
ชื่อที่ ๓. อเสขบุคคล หมายถึง ผู้ไม่ต้องศึกษา (ศีล สมาธิ ปัญญา) ต่อไปอีก
ชื่อที่ ๔. วีตราคะ หมายถึง ผู้สำรอกราคะแล้ว
๒. พระอรหันต์ แบ่งตามลักษณะของการหลุดพ้นจากอาสวกิเลส มี ๒ ประเภท
ประเภทที่ ๑ . ปัญญาวิมุตติ หมายถึง ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยการเจริญ วิปัสสนา
ประเภทที่ ๒. เจโตวิมุตติ หมายถึง ผู้สำเร็จโดยการเจริญสมถและวิปัสสนา
ประเภทที่ ๑ . ปัญญาวิมุตติ หมายถึง ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยการเจริญ วิปัสสนา
ประเภทที่ ๒. เจโตวิมุตติ หมายถึง ผู้สำเร็จโดยการเจริญสมถและวิปัสสนา
๓. พระอรหันต์ แบ่งตามลักษณะระยะเวลาการสร้างบารมี มี ๓ ประเภท
ประเภทที่ ๑. พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยการตรัสรู้ด้วย พระองค์เองและสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้
ประเภทที่ ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยการตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แต่สอนผู้อื่นให้รู้ตามไม่ได้
ประเภทที่ ๓. พระอรหันต์สาวก ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยการรู้ตาม คือรู้แจ้ง ตามความเป็น จริงตามปัญญาตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เฉพาะพระอรหันต์สาวกยัง แบ่งตามความสามารถออกได้อีก ๓ ประเภท คือ
๓.๑ ปกติสาวก หมายถึง พระสาวก หรือพระอรหันต์ ทั่วไป
๓.๒ มหาสาวก หมายถึง พระสาวกผู้ใหญ่ผู้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า ๘๐ รูป และส่วนมากจะได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะ(มีความเป็นเลิศ)ด้วย
ประเภทที่ ๑. พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยการตรัสรู้ด้วย พระองค์เองและสอนผู้อื่นให้รู้ตามได้
ประเภทที่ ๒. พระปัจเจกพุทธเจ้า คือ ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยการตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แต่สอนผู้อื่นให้รู้ตามไม่ได้
ประเภทที่ ๓. พระอรหันต์สาวก ผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์โดยการรู้ตาม คือรู้แจ้ง ตามความเป็น จริงตามปัญญาตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เฉพาะพระอรหันต์สาวกยัง แบ่งตามความสามารถออกได้อีก ๓ ประเภท คือ
๓.๑ ปกติสาวก หมายถึง พระสาวก หรือพระอรหันต์ ทั่วไป
๓.๒ มหาสาวก หมายถึง พระสาวกผู้ใหญ่ผู้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า ๘๐ รูป และส่วนมากจะได้รับการยกย่องว่าเป็นเอตทัคคะ(มีความเป็นเลิศ)ด้วย
๓.๓ อัคคสาวก หมายถึง อัคคสาวกเบื้องซ้ายและพระอัคคสาวกเบื้องขวา ซึ่งในพุทธศาสนาของพระสมณโคตมนี้ อัคคสาวกเบื้องซ้ายคือ พระโมคคัลลาน์ พระอัคคสาวกเบื้องขวาคือ พระสารีบุตร ซึ่งจะเห็นในโบสถ์ที่ยืนอยู่ด้านซ้าย และขวาของพระประธาน
๔. พระอรหันต์ แบ่งตามลักษณะปัญญาที่รู้พิเศษ มี ๒ ประเภท
ประเภทที่ ๑. พระอรหันต์ผู้มีปฏิสัมภิทาญาณ ๔ คือ
๑. อัตถปฏิสัมภิทาญาณ ปัญญาที่แตกฉานรู้ในผลทั้งปวงที่มาจากเหตุ
๒. ธัมมปฏิสัมภิทาญาณ ปัญญาที่แตกฉานรู้ในเหตุที่ทำไห้บังเกิดผล
๓. นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ปัญญาที่แตกฉานในภาษาที่มาของผลและเหตุทั้งปวง
๔. ปฏิภานปฏิสัมภิทาญาณ ปัญญาที่แตกฉานในธรรม ๓ ประการข้างต้น มีความคล่องแคล่ว ว่องไว เฉียบแหลมคมคาย
ประเภทที่ ๒. พระอรหันต์ธรรมดา ผู้ไม่มีปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ดังกล่าวข้างต้น
ประเภทที่ ๑. พระอรหันต์ผู้มีปฏิสัมภิทาญาณ ๔ คือ
๑. อัตถปฏิสัมภิทาญาณ ปัญญาที่แตกฉานรู้ในผลทั้งปวงที่มาจากเหตุ
๒. ธัมมปฏิสัมภิทาญาณ ปัญญาที่แตกฉานรู้ในเหตุที่ทำไห้บังเกิดผล
๓. นิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ ปัญญาที่แตกฉานในภาษาที่มาของผลและเหตุทั้งปวง
๔. ปฏิภานปฏิสัมภิทาญาณ ปัญญาที่แตกฉานในธรรม ๓ ประการข้างต้น มีความคล่องแคล่ว ว่องไว เฉียบแหลมคมคาย
ประเภทที่ ๒. พระอรหันต์ธรรมดา ผู้ไม่มีปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ดังกล่าวข้างต้น
๕. พระอรหันต์ ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์และสำเร็จคุณพิเศษคือได้อภิญญา
ด้วย คำว่า อภิญญามีทั้งอภิญญา ๓ และอภิญญา ๖ ( หรือเรียกว่า วิชา ๓ วิชา ๖) รายละเอียดดังนี้ อภิญญา ๖ คือ
๑.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
๒.ทิพพจักขุญาณ หรือ จุตูปปาตญาณ ตาทิพย์และรู้ว่าตายแล้วไปเกิดที่ไหน
๓.อาสวักขยญาณ รู้วิธีทำกิเลสให้หมดไป
๔.ปริจิตตวิชานน หรือ เจโตปริยญาณ รู้จิตใจผู้อื่น
๕. ทิพพโสตญาณ หูทิพย์
๖. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้
ด้วย คำว่า อภิญญามีทั้งอภิญญา ๓ และอภิญญา ๖ ( หรือเรียกว่า วิชา ๓ วิชา ๖) รายละเอียดดังนี้ อภิญญา ๖ คือ
๑.ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
๒.ทิพพจักขุญาณ หรือ จุตูปปาตญาณ ตาทิพย์และรู้ว่าตายแล้วไปเกิดที่ไหน
๓.อาสวักขยญาณ รู้วิธีทำกิเลสให้หมดไป
๔.ปริจิตตวิชานน หรือ เจโตปริยญาณ รู้จิตใจผู้อื่น
๕. ทิพพโสตญาณ หูทิพย์
๖. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้